คดีความ ความจริง ความ(สิ้น)หวัง เสียงจาก 2 ญาติคนตายพฤษภา 53 หลังกระแส ‘อภิสิทธิ์’ โต้ ‘นิสิตจุฬา’
คดีความ ความจริง ความ(สิ้น)หวัง เสียงจาก 2 ญาติคนตายพฤษภา 53 หลังกระแส ‘อภิสิทธิ์’ โต้ ‘นิสิตจุฬา’
สรวุฒิ วงศ์ศรานนท์ สัมภาษณ์
admin666
Tue, 2025-11-04 - 18:32
แม้ว่าตอนนี้ประเด็นที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือย่อๆ ก็คือ กปปส. ดูจะกลายเป็นกระแสให้คนช่วยกันขุดภาพเก่ามาช่วยเตือนความจำอดีตนายกฯ กัน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทวงถามกับอภิสิทธิ์คือความรับผิดชอบต่อความเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ช่วงเม.ย.-พ.ค.2553 ที่เขาเป็นผู้ออกคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ. ด้วยอำนาจของนายกฯ และให้สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในเวลานั้นไปนั่งตำแหน่งหัวหน้า ศอฉ. อยู่ช่วงหนึ่งก่อนเปลี่ยนมือให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นมารับช่วงต่อหลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย.2553 ที่เวทีบนถนนราชดำเนินผ่านไปแล้ว จนกระทั่งเกิดการสลายการชุมนุมเวทีที่แยกศาลาแดงและราชประสงค์ในเดือนถัดมา จากการสลายการชุมนุม 2 ครั้งนี้ทำให้มีทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเสียชีวิตอย่างน้อย 94 ราย
ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ได้นั่งลงตอบคำถามของนิสิตที่มาประท้วงเขาด้วยท่าทีน้ำเสียงใจเย็น แต่คำตอบของเขาต่อเรื่องนี้กลับสร้างกระแสสังคมให้เรื่องการสลายการชุมนุมเมื่อ 15 ปีก่อนนั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่เขาตอบคนรุ่นใหม่เหล่านี้จริงหรือไม่ และอดีตนายกฯ ผู้นี้สามารถพูดได้เต็มปากจริงหรือไม่ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
เหตุผลที่อภิสิทธิ์อ้างคือ ศาลยุติธรรมพิพากษายกฟ้องเขาทั้ง 3 ศาล อีกทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็มีมติว่าดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วอีกทั้งการชุมนุมครั้งนั้นยังเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย แม้ว่าปฏิบัติการทางทหารในเวลานั้นจะส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตไป 84 ราย นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจตายอีก 10 นาย(และมีทหาร 1 นายด้วยซ้ำที่ศาลยุติธรรมเคยสั่งว่าเกิดจากการยิงโดยทหารด้วยกันเอง)
แต่อีกเรื่องที่อภิสิทธิ์ทำให้เป็นประเด็นขึ้นมาคือ ตั้งคำถามย้อนไปที่พรรคเพื่อไทยว่า เหตุใดสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แทนที่พยายามดัน “นิรโทษสุดซอย” ที่รวมถึงการนิรโทษฯ ตัวเขาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรไปด้วย และกลายเป็นเรื่องที่เขาใช้ยืนยันความบริสุทธิ์ใจที่ไม่ยอมรับการนิรโทษกรรมนี้และพร้อมพิสูจน์ตัวเองหากมีหลักฐานว่าเขาเกี่ยวข้องกับการสั่งการสลายการชุมนุมได้
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ เหตุผลที่ศาลยุติธรรมยกฟ้องอภิสิทธิ์(รวมถึงสุเทพ) ก็คือ ศาลอ้างว่าคดีนี้ไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีในเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งจะต้องเป็นองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.เป็นผู้พิจารณาว่าจะส่งคดีต่อศาลหรือไม่ และผลก็คือ ป.ป.ช. มีมติไม่รับคดีไว้พิจารณา
อีกทั้งคดีการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทั้งหมด ปัจจุบันยังไม่มีคดีเข้าสู่ขั้นตอนฟ้องต่อศาลเพื่อพิสูจน์หาตัวคนผิดแม้แต่คดีเดียว ไม่ใช่เพียงแค่คดีที่ฟ้องอภิสิทธิ์ในฐานะผู้สั่งการ แต่ยังรวมไปถึงคดีที่ญาติผู้เสียชีวิตฟ้องทหารปฏิบัติการศาลยุติธรรมก็ยังบอกว่าเป็นคดีในศาลทหารแม้ว่าในสำนวนจะมีการฟ้องเจ้าหน้าที่พลเรือนไปด้วย แต่เมื่อจะเอาคดีไปศาลทหาร อัยการศาลทหารก็บอกว่าหลักฐานไม่เพียงพออีก แม้ว่าพยานหลักฐานที่ยื่นไปจะถูกรับรองโดยศาลยุติธรรมในชั้นไต่สวนการตายแล้วก็ตามว่าการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของทหารก็ตาม
ทำให้สุดท้ายแล้วปัญหาในการตอบคำถามของอภิสิทธิ์และทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่พอใจจริงๆ ก็คือ เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองนั้นกลับเป็นการอ้างถึงกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่ได้ดำเนินการอะไรอย่างจริงจังมาตลอด 15 ปีเสียมากกว่า (ซึ่งเขาพูดเองด้วยว่าทราบปัญหาและเป็นเรื่องที่ต้องปฏิรูป) แทนการกล่าวถึงพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง อีกทั้งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลที่ไม่เป็นไปตามใจของตนเองต่างหาก
ทั้งนี้คนที่จะพูดถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในการค้นหาความจริงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมครั้งนั้น คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่าคนที่ยังรอวันที่องค์กรในกระบวนการยุติธรรมจะนำคดีการเสียชีวิตของคนในครอบครัวมาทำให้ความจริงปรากฏ แม้ว่าเส้นตายในคดีผู้เสียชีวิตเหล่านี้กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
คดีไม่คืบมา 15 ปี อายุความก็จะหมด คนตามก็ทยอยหาย
“ไม่อายตัวเอง อย่างน้อยต้องอายความรู้สึกตัวเองที่รับรู้อยู่ โกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองมันทำไม่ได้ไง”
อุบลวดี จันทร พี่สาวของเสน่ห์ นิลเหลือง ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่ถนนพระราม 4 เมื่อ 14 พ.ค.2553 กล่าวถึงการสนทนาระหว่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนิสิตจุฬาฯ ถึงประเด็นการสลายชุมนุมเมื่อปี 2553
อุบลวดี จันทร (เสื้อโปโลสีดำ) ถือภาพเสน่ห์ร่วมงานรำลึกการสลายการชุมนุมปี 2553 เมื่อ 19 พ.ค.2567 ที่แยกราชประสงค์
เธอบอกว่า เธอและครอบครัวผู้เสียชีวิตอื่นๆ ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับโพสต์ของ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่ใช้คำว่า ‘หน้าด้าน’ เรียกอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ โดยยกเรื่องที่ ป.ป.ช.และศาลยกฟ้องไปหมดแล้ว ส่วนคนที่ตายนั้นโชคไม่ดีเอง
พี่สาวของเสน่ห์บอกว่า เธอไม่อยากจะตามเรื่องแล้ว ที่ผ่านมาคดีของน้องชายเหมือนถูกโยนไปโยนมา ทั้งที่คดีก็ผ่านการชันการชันสูตรพลิกศพมาหมดแล้ว แต่คดีก็ถูกส่งไป DSI ล่าสุดทาง DSI ส่งหนังสือมาแจ้งราวเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ให้เธอไปขอใบชันสูตรและใบรับรองการตาย จาก สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งดูแลพื้นที่ท้องเกิดเหตุ เธอต้องไปถึง 2 รอบเพื่อให้เซนเอกสาร แต่หลังจากนั้นก็เงียบหาย พอโทรไปตามกับผู้กำกับ ก็ไม่รับสายบ้าง หรือบอกว่าไม่สะดวกติดประชุมบ้าง ส่วนที่ ป.ป.ช.ก็เคยไปมาแล้ว แต่เหมือนไม่มีใครอยากทำคดี ไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คดีก็จะหมดอายุความอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนเราไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แฟนพี่เป็นตำรวจเขาก็บอกว่าไม่ต้องไปตามแล้วแหละ ถ้าจะดำเนินคดี เขาทำไปตั้งนานแล้ว ไม่ทิ้งไว้อย่างนี้หรอก”
ทั้งนี้การเสียชีวิตของเสน่ห์ เกิดขึ้นที่หน้าปั๊ม ปตท.บ่อนไก่ ปากซอยปลูกจิต 1 ถนนพระราม 4 เมื่อ 14 พ.ค.2553 ในช่วงจังหวะที่เจ้าหน้าที่ทหารโดยการสั่งการของ ศอฉ.กำลังตั้งแนวด่านสกัดกั้นผู้ชุมนุมในปฏิบัติการ ‘กระชับวงล้อม’ พื้นที่ชุมนุมหลักของ นปช.ที่แยกศาลาแดงและราชประสงค์ ปฏิบัติการเริ่มขึ้นโดยทหารเดินเรียงหน้ากระดานผลักดันไล่ตั้งแต่แยกศาลาแดงมุ่งหน้าย่านบ่อนไก่พร้อมไปกับการเล็งและยิงอาวุธปืนใส่ผู้ชุมนุมและประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องและออกมายืนดูเหตุการณ์ จนแนวทหารเดินไปถึงบริเวณหน้าสนามมวยลุมพินี (ปัจจุบันที่เกิดเหตุคือบริเวณด้านหน้าห้าง One Bangkok)
ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) ที่นักวิชาการและทีมงานช่วยกันรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ พบว่ากรณีของเสน่ห์ มีช่างภาพข่าวต่างชาติ 3 คนคือ Roland Neveu Masaru Goto และ Kenneth Todd Ruiz บันทึกเหตุการณ์ก่อนและหลังเสน่ห์ถูกยิง ทั้งจากมุมด้านหลังทหารและมุมที่เสน่ห์อยู่ ซึ่งสอดคล้องกันว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่ทหาร
อุบลวดีเล่าว่า วันเกิดเหตุ น้องชายแค่จะเดินผ่านเข้าไปที่บ้านแถว สน.ลุมพินี เพื่อเอารถแท็กซี่ของตัวเองออกไปไว้ที่บ้านแฟน เพราะพื้นที่แถวนั้นกำลังจะถูกปิด ไม่เช่นนั้นจะไม่มีรถเอาไว้ขับทำงาน แต่ก็ไปไม่ถึง
เสน่ห์เป็น 1 ใน 7 คนที่เสียชีวิตในวันที่ 2 ของปฏิบัติการกระชับวงล้อม อย่างไรก็ตาม อีก 5 คนที่เสียชีวิตช่วงไล่เลี่ยกันในบริเวณดังกล่าว คดีได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนการตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 แล้ว เหลือแต่เพียงเสน่ห์กับอินแปลง เทศวงศ์ที่ยังไม่ได้เริ่มแม้แต่ไต่สวนการตาย
อย่างไรก็ตาม ถึงคดีการเสียชีวิตของน้องชายจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่อุบลวดีก็เข้าร่วมงานรำลึกที่จัดขึ้นทุกปี แม้จะไม่ได้มีความหวังอะไรนัก ทั้งแกนนำจัดกิจกรรมอย่างธิดา ถาวรเศรษฐ์ และเหวง โตจิราการ อดีตแกนนำ นปช. ทั้งญาติผู้เสียชีวิต ต่างก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และกลายเป็นว่าตอนนี้เธอก็ช่วยประสานกับบรรดาครอบครัวของผู้เสียชีวิตให้แทน จากเดิมที่เคยประสานได้ราว 40 ครอบครัว ตอนนี้บางครอบครัวก็ติดต่อไม่ได้แล้ว
“พี่ก็อายุไม่ใช่น้อย 65 แล้ว อยู่ได้อีกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แม่ก็ไม่มีปัญญามาแล้ว บางคนมาไม่ได้ก็ให้น้องมา บางคนอยู่ต่างจังหวัดก็ให้เราที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เป็นตัวแทนไปก่อน”
อุบลวดีบอกว่า นอกจากเรื่องต้องช่วยคนทางไกลแล้ว บางทีก็ต้องทำแทนไปเพราะรู้หนังสือ ทำเอกสารได้ คุยกับเจ้าหน้าที่ได้ แต่ทำไปแล้วก็ไม่เกิดความคืบหน้า จึงท้อแท้หมดหวังกันหมด ก็ได้ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ที่ยังช่วยหาทนายความจากสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยให้
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของอุบลวดีในการติดตามคดีของน้องชายก็ไม่ได้มีแต่คนเห็นด้วย แม้กระทั่งคนในบ้านเดียวกันก็มีส่วนที่เห็นว่าสู้ไปก็สู้ยาก ต่อให้รัฐบาลในตอนนั้นออกไปแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมก็ยากจะเชื่อถือ ถ้าศาลรับไต่สวนการตาย อย่างน้อยคดีก็ยังไปต่อได้ในศาลชั้นอื่นๆ แต่คดีของเสน่ห์ก็ไม่ได้ไปถึงศาล
“ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป มันมืดแปดด้านแล้ว อีก 5 ปีก็หมดอายุความแล้ว” พี่สาวของเสน่ห์กล่าว
จะฝ่ายไหนก็ไม่มีใครยอมเปิดความจริงทั้งหมด
พะเยาว์ อัคฮาด แม่ของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารบนรางรถไฟฟ้าสถานีสยามยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ 19 พ.ค.2553 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่แกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุมไปแล้วเกือบ 5 ชั่วโมง
พะเยาว์ อัคฮาด ถือภาพของกมนเกดในงานรำลึกถึงการเสียชีวิตของลูกสาวครบรอบ 10 ปี เมื่อ 19 พ.ค.2563 จัดที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร
“พูดกันตรงๆ นะคะ ผ่านมา 15 ปีแล้วเนี่ย จะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคนเดียวไม่ได้ ทุกฝ่ายไม่เคยที่จะกล้าที่จะเปิดเผยความจริง จะเป็นกองทัพเอย หรืออภิสิทธิ์เขาพูดมาว่า เขาไม่เอาตั้งแต่สมัยที่คุณทักษิณบอกว่าจะออกนิรโทษเหมาเข่งตอนนั้นที่บอกว่าได้หมดทุกคนเลย แต่เขาไม่เอา เขาต้องการเอาความจริงขึ้นมาถ้าจะเอาความจริงขึ้นมาก็คงจะดี เขาก็เปิดออกมาแบบนี้ แต่คนที่ไม่ยอมเปิดเลยเป็นใคร ดิฉันก็มาใช้ความคิดของตัวเองมาตั้งนานว่า จริงๆ มันควรจะเปิดใจกันทุกฝ่ายไหม แต่ไม่เห็นมีใครกล้าเปิด”
พะเยาว์มองว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมายังไม่มีใครกล้าเอาความจริงทั้งหมดมากองบนโต๊ะให้สังคมได้เห็น ถ้าให้สังคมสามารถกดดันเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปิดเผยออกมาได้ก็จะดี กองทัพยังไม่กล้ายอมรับผิด หรือแม้กระทั่งทักษิณ ชินวัตร หรือคนฝ่ายเสื้อแดง เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลก็ยังไม่เคยเดินหน้าทำเรื่องนี้ กระทั่งเคยไปยื่นเรื่องที่สภาเรื่องก็ถูกถอนไป เธอจึงฝากความหวังกับคนรุ่นใหม่ว่าอยากให้ไปทวงถามด้วย
แม่ของกมนเกดมองว่าทุกฝ่ายต่างก็อยากให้เรื่องนี้หมดอายุความไปเหมือนกับเหตุการณ์ปี 2535 จนถึงตอนนั้นต่างฝ่ายต่างถึงออกมาพูดว่าใครทำอะไรในเหตุการณ์นั้นบ้าง กระทั่งทหารก็ยังออกมาพูดด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ครอบครัวผู้สูญเสียต่างก็เจ็บปวด แล้วเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้ก็จะวนกลับมาอีก เธอมองว่า ‘ไม่มีทาง’ ที่จะได้ความยุติธรรมในเรื่องนี้ก่อนที่คดีจะหมดอายุความในอีก 5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของกมนเกดมีหลักฐานค่อนข้างครบถ้วนและชัดเจนทั้งจากพยานบุคคล ภาพถ่าย และวิดีโอ จนกระทั่งศาลอาญากรุงเทพใต้เคยมีคำสั่งในการไต่สวนการตายที่ชัดที่สุดคดีหนึ่งว่า กมนเกดถูกยิงเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มที่ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ แต่เมื่อ DSI รับสำนวนกลับไปเพื่อดำเนินการขั้นต่อไปคือทำความเห็นสั่งฟ้องยื่นต่ออัยการศาลทหาร ทาง DSI แจ้งกับพะเยาว์ว่า อัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้องต่อศาลทหารโดยให้เหตุผลดังนี้
“คดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีประจักษ์พยาน พยานพฤติเหตุแวดล้อม หรือพยานหลักฐานอื่นใด ที่ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำผิดดังกล่าว ดังนั้น ทางคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่น” เหตุผลที่อัยการศาลทหารไม่ฟ้อง
เมื่ออัยการศาลทหารพิจารณาแล้วมีผลออกมาเช่นนี้ ทำให้เรื่องพลิกกลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ศาลยุติธรรมเคยระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงเข้าไปในวัดปทุมฯ จนมีผู้เสียชีวิตกลับหลุดคดีไปได้หมด เนื่องจากหนังสือแจ้งนี้เพิ่งออกมาเมื่อปี 2563 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าศาลทหารเป็นช่องทางที่เหลืออยู่สุดท้ายแล้วก็ว่าได้
เหตุผลก็เพราะว่าก่อนหน้าคดีของกมนเกด เคยมีการฟ้องคดีการเสียชีวิตของพัน คำกอง ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตอีกคนที่ศาลยุติธรรมเคยมีคำสั่งไต่สวนการตายชัดเจนเช่นกันว่าถูกยิงเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ทหารใต้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์มักกะสันในคืนวันที่ 14 พ.ค.2553 แต่เมื่อครอบครัวและทนายความดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลอาญา รัชดาฯ ศาลกลับไม่รับฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งจะต้องฟ้องคดีต่อศาลทหารเท่านั้น แม้ว่าคดีนี้ทางทนายความจะฟ้องร่วมไปกับเจ้าหน้าที่พลเรือนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการสั่งสลายการชุมนุมก็ตาม
พะเยาว์มองว่าเรื่องนี้ คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือญาติ แม้แต่ญาติของทหารก็เป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด จริงๆ ไม่ควรมีใครตายไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่มีการยึดอำนาจ หวงอำนาจกันเอง จนมองไม่เห็นค่าของประชาชน
“บอกตรงๆ ว่าดิฉันเองก็เศร้า ครอบครัวของทหารก็เศร้า เขาก็อยากฟังความจริงเหมือนกัน เมียของร่มเกล้า ธุวธรรม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครฆ่าสามีเค้า เราก็อยากรู้ว่า 1 ใน 8 คน (ทหารบนรางรถไฟฟ้า) คนไหนเป็นคนลั่นกระสุนใส่ลูกสาวดิฉัน นี่เป็นเป้าเดียวกันเลยคือแค่อยากรู้ว่าคุณกล้าที่จะออกมาพูดไม คุณจะพูดอย่างเดียวให้เราอภัย ถ้าคุณกล้าออกมารับสารภาพ เราก็กล้าที่จะให้อภัยนะ เราก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมาตายตกตามกันหรอก เพราะลูกสาวก็ตายไปแล้ว” แม่ของกมนเกดกล่าว
ทั้งนี้แม่ของกมนเกดก็ยืนยันว่า ถึงอย่างไรก็ต้องการให้สังคมได้รู้ว่าสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำ แม้เจ้าหน้าที่รัฐอาจอ้างว่าทำไปตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่กฎหมายก็มีการกำหนดขอบเขตสิ่งที่ทำได้ กระนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยังทำเกินขอบเขต ก็ต้องยอมรับความจริงว่าทำเกินหน้าที่ แต่ทหารก็ไม่กล้ารับเรื่องนี้
แม้ว่าพะเยาว์จะยอมรับว่าทหารจะมีบางส่วนที่ดี แต่เมื่อมีส่วนที่ไม่ดีก็ต้องตัดทิ้ง แล้วเมื่อมีการรัฐประหารในปี 2557 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอยู่ในอำนาจนานถึง 8 ปี ก็ไม่ยอมให้ใครแตะถึงเรื่องการสลายการชุมนุมในปี 2553 ส่วนตัวคิดว่าควรมีคนไปทวงถามกับพล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วย เพราะนายทหารทั้ง 3 คนนี้ต่างก็เคยนั่งอยู่หัวโต๊ะของ ศอฉ.ทั้งหมด
“ดิฉันบอกตรงๆ ว่า กรรมใครทำอะไรไว้ก็ขอให้ได้กรรมตามนั้น เราก็ได้แต่พูดแบบนี้” แม่ของกมนเกดพูดความรู้สึก เพราะเรื่องคดีแม้จะอยากคาดหวังให้คืบหน้า แต่เธอคิดว่าเป็นเรื่องต้องยอมรับความจริงว่าเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับประเทศไทย แม้กระทั่งญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 บางคน ทุกวันนี้ก็ยังต้องทวงถามศพของคนในครอบครัวกันอยู่แม้จะผ่านมาแล้ว 30 กว่าปี
* ข่าว
* สิทธิมนุษยชน
* การสลายชุมนุมปี 2553
* พะเยาว์ อัคฮาด
* กมนเกด อัคฮาด
* เสน่ห์ นิลเหลือง
* อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
* อุบลวดี จันทร
คดีความ ความจริง ความ(สิ้น)หวัง เสียงจาก 2 ญาติคนตายพฤษภา 53 หลังกระแส ‘อภิสิทธิ์’ โต้ ‘นิสิตจุฬา’
04.11.2025 11:56 — 👍 0 🔁 0 💬 0 📌 0