Prachatai Feeds's Avatar

Prachatai Feeds

@prachataifeeds.bsky.social

16 Followers  |  1 Following  |  2,010 Posts  |  Joined: 16.06.2025  |  4.0762

Latest posts by prachataifeeds.bsky.social on Bluesky

Preview
คดีความ ความจริง ความ(สิ้น)หวัง เสียงจาก 2 ญาติคนตายพฤษภา 53 หลังกระแส ‘อภิสิทธิ์’ โต้ ‘นิสิตจุฬา’ คดีความ ความจริง ความ(สิ้น)หวัง เสียงจาก 2 ญาติคนตายพฤษภา 53 หลังกระแส ‘อภิสิทธิ์’ โต้ ‘นิสิตจุฬา’ สรวุฒิ วงศ์ศรานนท์ สัมภาษณ์ admin666 Tue, 2025-11-04 - 18:32 แม้ว่าตอนนี้ประเด็นที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือย่อๆ ก็คือ กปปส. ดูจะกลายเป็นกระแสให้คนช่วยกันขุดภาพเก่ามาช่วยเตือนความจำอดีตนายกฯ กัน อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทวงถามกับอภิสิทธิ์คือความรับผิดชอบต่อความเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ช่วงเม.ย.-พ.ค.2553 ที่เขาเป็นผู้ออกคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ. ด้วยอำนาจของนายกฯ และให้สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในเวลานั้นไปนั่งตำแหน่งหัวหน้า ศอฉ. อยู่ช่วงหนึ่งก่อนเปลี่ยนมือให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นมารับช่วงต่อหลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย.2553 ที่เวทีบนถนนราชดำเนินผ่านไปแล้ว จนกระทั่งเกิดการสลายการชุมนุมเวทีที่แยกศาลาแดงและราชประสงค์ในเดือนถัดมา จากการสลายการชุมนุม 2 ครั้งนี้ทำให้มีทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเสียชีวิตอย่างน้อย 94 ราย ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ได้นั่งลงตอบคำถามของนิสิตที่มาประท้วงเขาด้วยท่าทีน้ำเสียงใจเย็น แต่คำตอบของเขาต่อเรื่องนี้กลับสร้างกระแสสังคมให้เรื่องการสลายการชุมนุมเมื่อ 15 ปีก่อนนั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่เขาตอบคนรุ่นใหม่เหล่านี้จริงหรือไม่ และอดีตนายกฯ ผู้นี้สามารถพูดได้เต็มปากจริงหรือไม่ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เหตุผลที่อภิสิทธิ์อ้างคือ ศาลยุติธรรมพิพากษายกฟ้องเขาทั้ง 3 ศาล อีกทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็มีมติว่าดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วอีกทั้งการชุมนุมครั้งนั้นยังเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย แม้ว่าปฏิบัติการทางทหารในเวลานั้นจะส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตไป 84 ราย นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจตายอีก 10 นาย(และมีทหาร 1 นายด้วยซ้ำที่ศาลยุติธรรมเคยสั่งว่าเกิดจากการยิงโดยทหารด้วยกันเอง) แต่อีกเรื่องที่อภิสิทธิ์ทำให้เป็นประเด็นขึ้นมาคือ ตั้งคำถามย้อนไปที่พรรคเพื่อไทยว่า เหตุใดสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แทนที่พยายามดัน “นิรโทษสุดซอย” ที่รวมถึงการนิรโทษฯ ตัวเขาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรไปด้วย และกลายเป็นเรื่องที่เขาใช้ยืนยันความบริสุทธิ์ใจที่ไม่ยอมรับการนิรโทษกรรมนี้และพร้อมพิสูจน์ตัวเองหากมีหลักฐานว่าเขาเกี่ยวข้องกับการสั่งการสลายการชุมนุมได้ อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ เหตุผลที่ศาลยุติธรรมยกฟ้องอภิสิทธิ์(รวมถึงสุเทพ) ก็คือ ศาลอ้างว่าคดีนี้ไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีในเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งจะต้องเป็นองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.เป็นผู้พิจารณาว่าจะส่งคดีต่อศาลหรือไม่ และผลก็คือ ป.ป.ช. มีมติไม่รับคดีไว้พิจารณา อีกทั้งคดีการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทั้งหมด ปัจจุบันยังไม่มีคดีเข้าสู่ขั้นตอนฟ้องต่อศาลเพื่อพิสูจน์หาตัวคนผิดแม้แต่คดีเดียว ไม่ใช่เพียงแค่คดีที่ฟ้องอภิสิทธิ์ในฐานะผู้สั่งการ แต่ยังรวมไปถึงคดีที่ญาติผู้เสียชีวิตฟ้องทหารปฏิบัติการศาลยุติธรรมก็ยังบอกว่าเป็นคดีในศาลทหารแม้ว่าในสำนวนจะมีการฟ้องเจ้าหน้าที่พลเรือนไปด้วย แต่เมื่อจะเอาคดีไปศาลทหาร อัยการศาลทหารก็บอกว่าหลักฐานไม่เพียงพออีก แม้ว่าพยานหลักฐานที่ยื่นไปจะถูกรับรองโดยศาลยุติธรรมในชั้นไต่สวนการตายแล้วก็ตามว่าการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของทหารก็ตาม ทำให้สุดท้ายแล้วปัญหาในการตอบคำถามของอภิสิทธิ์และทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่พอใจจริงๆ ก็คือ เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองนั้นกลับเป็นการอ้างถึงกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่ได้ดำเนินการอะไรอย่างจริงจังมาตลอด 15 ปีเสียมากกว่า (ซึ่งเขาพูดเองด้วยว่าทราบปัญหาและเป็นเรื่องที่ต้องปฏิรูป) แทนการกล่าวถึงพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง อีกทั้งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลที่ไม่เป็นไปตามใจของตนเองต่างหาก ทั้งนี้คนที่จะพูดถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในการค้นหาความจริงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมครั้งนั้น คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่าคนที่ยังรอวันที่องค์กรในกระบวนการยุติธรรมจะนำคดีการเสียชีวิตของคนในครอบครัวมาทำให้ความจริงปรากฏ แม้ว่าเส้นตายในคดีผู้เสียชีวิตเหล่านี้กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  คดีไม่คืบมา 15 ปี อายุความก็จะหมด คนตามก็ทยอยหาย “ไม่อายตัวเอง อย่างน้อยต้องอายความรู้สึกตัวเองที่รับรู้อยู่ โกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองมันทำไม่ได้ไง” อุบลวดี จันทร พี่สาวของเสน่ห์ นิลเหลือง ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่ถนนพระราม 4 เมื่อ 14 พ.ค.2553 กล่าวถึงการสนทนาระหว่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนิสิตจุฬาฯ ถึงประเด็นการสลายชุมนุมเมื่อปี 2553 อุบลวดี จันทร (เสื้อโปโลสีดำ) ถือภาพเสน่ห์ร่วมงานรำลึกการสลายการชุมนุมปี 2553 เมื่อ 19 พ.ค.2567 ที่แยกราชประสงค์ เธอบอกว่า เธอและครอบครัวผู้เสียชีวิตอื่นๆ ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับโพสต์ของ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่ใช้คำว่า ‘หน้าด้าน’ เรียกอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ โดยยกเรื่องที่ ป.ป.ช.และศาลยกฟ้องไปหมดแล้ว ส่วนคนที่ตายนั้นโชคไม่ดีเอง พี่สาวของเสน่ห์บอกว่า เธอไม่อยากจะตามเรื่องแล้ว ที่ผ่านมาคดีของน้องชายเหมือนถูกโยนไปโยนมา ทั้งที่คดีก็ผ่านการชันการชันสูตรพลิกศพมาหมดแล้ว แต่คดีก็ถูกส่งไป DSI ล่าสุดทาง DSI ส่งหนังสือมาแจ้งราวเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ให้เธอไปขอใบชันสูตรและใบรับรองการตาย จาก สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งดูแลพื้นที่ท้องเกิดเหตุ เธอต้องไปถึง 2 รอบเพื่อให้เซนเอกสาร แต่หลังจากนั้นก็เงียบหาย พอโทรไปตามกับผู้กำกับ ก็ไม่รับสายบ้าง หรือบอกว่าไม่สะดวกติดประชุมบ้าง ส่วนที่ ป.ป.ช.ก็เคยไปมาแล้ว แต่เหมือนไม่มีใครอยากทำคดี ไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  “คดีก็จะหมดอายุความอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนเราไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แฟนพี่เป็นตำรวจเขาก็บอกว่าไม่ต้องไปตามแล้วแหละ ถ้าจะดำเนินคดี เขาทำไปตั้งนานแล้ว ไม่ทิ้งไว้อย่างนี้หรอก” ทั้งนี้การเสียชีวิตของเสน่ห์ เกิดขึ้นที่หน้าปั๊ม ปตท.บ่อนไก่ ปากซอยปลูกจิต 1 ถนนพระราม 4 เมื่อ 14 พ.ค.2553 ในช่วงจังหวะที่เจ้าหน้าที่ทหารโดยการสั่งการของ ศอฉ.กำลังตั้งแนวด่านสกัดกั้นผู้ชุมนุมในปฏิบัติการ ‘กระชับวงล้อม’ พื้นที่ชุมนุมหลักของ นปช.ที่แยกศาลาแดงและราชประสงค์ ปฏิบัติการเริ่มขึ้นโดยทหารเดินเรียงหน้ากระดานผลักดันไล่ตั้งแต่แยกศาลาแดงมุ่งหน้าย่านบ่อนไก่พร้อมไปกับการเล็งและยิงอาวุธปืนใส่ผู้ชุมนุมและประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องและออกมายืนดูเหตุการณ์ จนแนวทหารเดินไปถึงบริเวณหน้าสนามมวยลุมพินี (ปัจจุบันที่เกิดเหตุคือบริเวณด้านหน้าห้าง One Bangkok)  ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) ที่นักวิชาการและทีมงานช่วยกันรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ พบว่ากรณีของเสน่ห์ มีช่างภาพข่าวต่างชาติ 3 คนคือ Roland Neveu Masaru Goto และ Kenneth Todd Ruiz บันทึกเหตุการณ์ก่อนและหลังเสน่ห์ถูกยิง ทั้งจากมุมด้านหลังทหารและมุมที่เสน่ห์อยู่ ซึ่งสอดคล้องกันว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่ทหาร อุบลวดีเล่าว่า วันเกิดเหตุ น้องชายแค่จะเดินผ่านเข้าไปที่บ้านแถว สน.ลุมพินี เพื่อเอารถแท็กซี่ของตัวเองออกไปไว้ที่บ้านแฟน เพราะพื้นที่แถวนั้นกำลังจะถูกปิด ไม่เช่นนั้นจะไม่มีรถเอาไว้ขับทำงาน แต่ก็ไปไม่ถึง เสน่ห์เป็น 1 ใน 7 คนที่เสียชีวิตในวันที่ 2 ของปฏิบัติการกระชับวงล้อม อย่างไรก็ตาม อีก 5 คนที่เสียชีวิตช่วงไล่เลี่ยกันในบริเวณดังกล่าว คดีได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนการตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 แล้ว เหลือแต่เพียงเสน่ห์กับอินแปลง เทศวงศ์ที่ยังไม่ได้เริ่มแม้แต่ไต่สวนการตาย อย่างไรก็ตาม ถึงคดีการเสียชีวิตของน้องชายจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่อุบลวดีก็เข้าร่วมงานรำลึกที่จัดขึ้นทุกปี แม้จะไม่ได้มีความหวังอะไรนัก ทั้งแกนนำจัดกิจกรรมอย่างธิดา ถาวรเศรษฐ์ และเหวง โตจิราการ อดีตแกนนำ นปช. ทั้งญาติผู้เสียชีวิต ต่างก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และกลายเป็นว่าตอนนี้เธอก็ช่วยประสานกับบรรดาครอบครัวของผู้เสียชีวิตให้แทน จากเดิมที่เคยประสานได้ราว 40 ครอบครัว ตอนนี้บางครอบครัวก็ติดต่อไม่ได้แล้ว  “พี่ก็อายุไม่ใช่น้อย 65 แล้ว อยู่ได้อีกสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แม่ก็ไม่มีปัญญามาแล้ว บางคนมาไม่ได้ก็ให้น้องมา บางคนอยู่ต่างจังหวัดก็ให้เราที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เป็นตัวแทนไปก่อน”  อุบลวดีบอกว่า นอกจากเรื่องต้องช่วยคนทางไกลแล้ว บางทีก็ต้องทำแทนไปเพราะรู้หนังสือ ทำเอกสารได้ คุยกับเจ้าหน้าที่ได้ แต่ทำไปแล้วก็ไม่เกิดความคืบหน้า จึงท้อแท้หมดหวังกันหมด ก็ได้ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ที่ยังช่วยหาทนายความจากสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยให้  อย่างไรก็ตาม ความพยายามของอุบลวดีในการติดตามคดีของน้องชายก็ไม่ได้มีแต่คนเห็นด้วย แม้กระทั่งคนในบ้านเดียวกันก็มีส่วนที่เห็นว่าสู้ไปก็สู้ยาก ต่อให้รัฐบาลในตอนนั้นออกไปแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมก็ยากจะเชื่อถือ ถ้าศาลรับไต่สวนการตาย อย่างน้อยคดีก็ยังไปต่อได้ในศาลชั้นอื่นๆ แต่คดีของเสน่ห์ก็ไม่ได้ไปถึงศาล “ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป มันมืดแปดด้านแล้ว อีก 5 ปีก็หมดอายุความแล้ว” พี่สาวของเสน่ห์กล่าว  จะฝ่ายไหนก็ไม่มีใครยอมเปิดความจริงทั้งหมด พะเยาว์ อัคฮาด แม่ของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารบนรางรถไฟฟ้าสถานีสยามยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ 19 พ.ค.2553 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่แกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุมไปแล้วเกือบ 5 ชั่วโมง พะเยาว์ อัคฮาด ถือภาพของกมนเกดในงานรำลึกถึงการเสียชีวิตของลูกสาวครบรอบ 10 ปี เมื่อ 19 พ.ค.2563 จัดที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร “พูดกันตรงๆ นะคะ ผ่านมา 15 ปีแล้วเนี่ย จะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคนเดียวไม่ได้ ทุกฝ่ายไม่เคยที่จะกล้าที่จะเปิดเผยความจริง จะเป็นกองทัพเอย หรืออภิสิทธิ์เขาพูดมาว่า เขาไม่เอาตั้งแต่สมัยที่คุณทักษิณบอกว่าจะออกนิรโทษเหมาเข่งตอนนั้นที่บอกว่าได้หมดทุกคนเลย แต่เขาไม่เอา เขาต้องการเอาความจริงขึ้นมาถ้าจะเอาความจริงขึ้นมาก็คงจะดี เขาก็เปิดออกมาแบบนี้ แต่คนที่ไม่ยอมเปิดเลยเป็นใคร ดิฉันก็มาใช้ความคิดของตัวเองมาตั้งนานว่า จริงๆ มันควรจะเปิดใจกันทุกฝ่ายไหม แต่ไม่เห็นมีใครกล้าเปิด” พะเยาว์มองว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมายังไม่มีใครกล้าเอาความจริงทั้งหมดมากองบนโต๊ะให้สังคมได้เห็น ถ้าให้สังคมสามารถกดดันเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปิดเผยออกมาได้ก็จะดี กองทัพยังไม่กล้ายอมรับผิด หรือแม้กระทั่งทักษิณ ชินวัตร หรือคนฝ่ายเสื้อแดง เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลก็ยังไม่เคยเดินหน้าทำเรื่องนี้ กระทั่งเคยไปยื่นเรื่องที่สภาเรื่องก็ถูกถอนไป เธอจึงฝากความหวังกับคนรุ่นใหม่ว่าอยากให้ไปทวงถามด้วย  แม่ของกมนเกดมองว่าทุกฝ่ายต่างก็อยากให้เรื่องนี้หมดอายุความไปเหมือนกับเหตุการณ์ปี 2535 จนถึงตอนนั้นต่างฝ่ายต่างถึงออกมาพูดว่าใครทำอะไรในเหตุการณ์นั้นบ้าง กระทั่งทหารก็ยังออกมาพูดด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ครอบครัวผู้สูญเสียต่างก็เจ็บปวด แล้วเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้ก็จะวนกลับมาอีก เธอมองว่า ‘ไม่มีทาง’ ที่จะได้ความยุติธรรมในเรื่องนี้ก่อนที่คดีจะหมดอายุความในอีก 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของกมนเกดมีหลักฐานค่อนข้างครบถ้วนและชัดเจนทั้งจากพยานบุคคล ภาพถ่าย และวิดีโอ จนกระทั่งศาลอาญากรุงเทพใต้เคยมีคำสั่งในการไต่สวนการตายที่ชัดที่สุดคดีหนึ่งว่า กมนเกดถูกยิงเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มที่ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ แต่เมื่อ DSI รับสำนวนกลับไปเพื่อดำเนินการขั้นต่อไปคือทำความเห็นสั่งฟ้องยื่นต่ออัยการศาลทหาร ทาง DSI แจ้งกับพะเยาว์ว่า อัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้องต่อศาลทหารโดยให้เหตุผลดังนี้ “คดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีประจักษ์พยาน พยานพฤติเหตุแวดล้อม หรือพยานหลักฐานอื่นใด ที่ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำผิดดังกล่าว ดังนั้น ทางคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่น” เหตุผลที่อัยการศาลทหารไม่ฟ้อง เมื่ออัยการศาลทหารพิจารณาแล้วมีผลออกมาเช่นนี้ ทำให้เรื่องพลิกกลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ศาลยุติธรรมเคยระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงเข้าไปในวัดปทุมฯ จนมีผู้เสียชีวิตกลับหลุดคดีไปได้หมด เนื่องจากหนังสือแจ้งนี้เพิ่งออกมาเมื่อปี 2563 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าศาลทหารเป็นช่องทางที่เหลืออยู่สุดท้ายแล้วก็ว่าได้  เหตุผลก็เพราะว่าก่อนหน้าคดีของกมนเกด เคยมีการฟ้องคดีการเสียชีวิตของพัน คำกอง ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตอีกคนที่ศาลยุติธรรมเคยมีคำสั่งไต่สวนการตายชัดเจนเช่นกันว่าถูกยิงเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ทหารใต้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์มักกะสันในคืนวันที่ 14 พ.ค.2553 แต่เมื่อครอบครัวและทนายความดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลอาญา รัชดาฯ ศาลกลับไม่รับฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งจะต้องฟ้องคดีต่อศาลทหารเท่านั้น แม้ว่าคดีนี้ทางทนายความจะฟ้องร่วมไปกับเจ้าหน้าที่พลเรือนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการสั่งสลายการชุมนุมก็ตาม     พะเยาว์มองว่าเรื่องนี้ คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือญาติ แม้แต่ญาติของทหารก็เป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด จริงๆ ไม่ควรมีใครตายไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่มีการยึดอำนาจ หวงอำนาจกันเอง จนมองไม่เห็นค่าของประชาชน “บอกตรงๆ ว่าดิฉันเองก็เศร้า ครอบครัวของทหารก็เศร้า เขาก็อยากฟังความจริงเหมือนกัน เมียของร่มเกล้า ธุวธรรม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครฆ่าสามีเค้า เราก็อยากรู้ว่า 1 ใน 8 คน (ทหารบนรางรถไฟฟ้า) คนไหนเป็นคนลั่นกระสุนใส่ลูกสาวดิฉัน นี่เป็นเป้าเดียวกันเลยคือแค่อยากรู้ว่าคุณกล้าที่จะออกมาพูดไม คุณจะพูดอย่างเดียวให้เราอภัย ถ้าคุณกล้าออกมารับสารภาพ เราก็กล้าที่จะให้อภัยนะ เราก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมาตายตกตามกันหรอก เพราะลูกสาวก็ตายไปแล้ว” แม่ของกมนเกดกล่าว ทั้งนี้แม่ของกมนเกดก็ยืนยันว่า ถึงอย่างไรก็ต้องการให้สังคมได้รู้ว่าสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำ แม้เจ้าหน้าที่รัฐอาจอ้างว่าทำไปตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่กฎหมายก็มีการกำหนดขอบเขตสิ่งที่ทำได้ กระนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยังทำเกินขอบเขต ก็ต้องยอมรับความจริงว่าทำเกินหน้าที่ แต่ทหารก็ไม่กล้ารับเรื่องนี้  แม้ว่าพะเยาว์จะยอมรับว่าทหารจะมีบางส่วนที่ดี แต่เมื่อมีส่วนที่ไม่ดีก็ต้องตัดทิ้ง แล้วเมื่อมีการรัฐประหารในปี 2557 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอยู่ในอำนาจนานถึง 8 ปี ก็ไม่ยอมให้ใครแตะถึงเรื่องการสลายการชุมนุมในปี 2553 ส่วนตัวคิดว่าควรมีคนไปทวงถามกับพล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วย เพราะนายทหารทั้ง 3 คนนี้ต่างก็เคยนั่งอยู่หัวโต๊ะของ ศอฉ.ทั้งหมด “ดิฉันบอกตรงๆ ว่า กรรมใครทำอะไรไว้ก็ขอให้ได้กรรมตามนั้น เราก็ได้แต่พูดแบบนี้” แม่ของกมนเกดพูดความรู้สึก เพราะเรื่องคดีแม้จะอยากคาดหวังให้คืบหน้า แต่เธอคิดว่าเป็นเรื่องต้องยอมรับความจริงว่าเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับประเทศไทย แม้กระทั่งญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 บางคน ทุกวันนี้ก็ยังต้องทวงถามศพของคนในครอบครัวกันอยู่แม้จะผ่านมาแล้ว 30 กว่าปี   * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * การสลายชุมนุมปี 2553 * พะเยาว์ อัคฮาด * กมนเกด อัคฮาด * เสน่ห์ นิลเหลือง * อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ * อุบลวดี จันทร

คดีความ ความจริง ความ(สิ้น)หวัง เสียงจาก 2 ญาติคนตายพฤษภา 53 หลังกระแส ‘อภิสิทธิ์’ โต้ ‘นิสิตจุฬา’

04.11.2025 11:56 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
มาเลเซียเตรียมพัฒนาโรงงานผลิตแม่เหล็กแรงสูง หนุนอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ มาเลเซียเตรียมพัฒนาโรงงานผลิตแม่เหล็กแรงสูง หนุนอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ auser15 Tue, 2025-11-04 - 18:40 นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเผยเตรียมพัฒนาโรงงานผลิตแม่เหล็กแรงสูงมูลค่า 600 ล้านริงกิต (หรือประมาณ 4,627 ล้านบาท) หวังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของประเทศ เว็บไซต์ The Straits Times รายงานเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 ว่า  นายอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่าการสร้างโรงงานผลิตแม่เหล็กแรงสูงมูลค่า 600 ล้านริงกิต (หรือประมาณ 4,627 ล้านบาท) ในรัฐปาหัง จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคแร่หายาก (Rare Earths) ของมาเลเซีย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Lynas Rare Earths จากออสเตรเลียและบริษัท JS Link จากเกาหลีใต้ได้ลงนามสัญญาพัฒนาโรงงานผลิตแม่เหล็กนีโอไดเมียม (neodymium magnet manufacturing) กำลังการผลิต 3,000 ตัน ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตวัสดุขั้นสูงของ Lynas ในเขตกวนตัน ของมาเลเซีย อันวาร์ระบุว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของมาเลเซียจะคอยติดตามโครงการนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการแปรรูปแร่หายาก ตามรายงานของสำนักข่าว Bernama เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน อันวาร์กล่าวว่า "JS Link ซื้อที่ดินไปแล้วและพร้อมเริ่มดำเนินการ ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่บันทึกความเข้าใจอีกต่อไป เงินลงทุนมีแล้ว ที่ดินก็พร้อมแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เร่งดำเนินการให้เร็วขึ้น" นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพมาเลเซียในภาควัสดุขั้นสูงและเทคโนโลยีสะอาด พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของประเทศ มาเลเซียมีแร่หายากสำรองอยู่ประมาณ 16.1 ล้านเมตริกตัน ตามข้อมูลประมาณการของรัฐบาล แต่ยังขาดเทคโนโลยีในการขุดและแปรรูป ประเทศจึงกำลังมองหาการลงทุนจากต่างประเทศและโอกาสถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อขุดและแปรรูปแร่หายาก แร่หายากมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และขีปนาวุธ มีรายงานว่ารัฐบาลมาเลเซียกำลังเจรจากับจีนเกี่ยวกับการแปรรูปแร่หายาก และในเดือนตุลาคม 2025 ได้ลงนามข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่หายากให้หลากหลายยิ่งขึ้น   * ข่าว * ต่างประเทศ * แรร์เอิร์ธ * มาเลเซีย * อาเซียน

มาเลเซียเตรียมพัฒนาโรงงานผลิตแม่เหล็กแรงสูง หนุนอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ

04.11.2025 11:44 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
พีมูฟแจงไม่ได้ยื่นรายชื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรมแต่อย่างใด พีมูฟแจงไม่ได้ยื่นรายชื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรมแต่อย่างใด auser15 Tue, 2025-11-04 - 17:20 'ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม' หรือ 'พีมูฟ' ชี้แจง ไม่ได้มีการยื่นรายชื่อ 2,000 รายชื่อ เพื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรมแต่อย่างใด 4 พฤศจิกายน 2568 เพจขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P-move รายงานว่า ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อออนไลน์ ระบุว่า "ร.อ. ธรรมนัสกล่าวต่อว่า เหตุที่พรรคกล้าธรรมมีจำนวนสมาชิกเป็นอันดับหนึ่ง เพราะพรรคเราทำงานตอบโจทย์พี่น้องประชาชน มีชาวใต้มารอพบที่พรรคและนำรายชื่อมาสมัครเพิ่มเองโดยไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า เมื่อวานก็มีเข้ามาสมัครเพิ่ม กลุ่มพีมูฟเอารายชื่อมาสมัครกว่า 2,000 คน พรรคเราก็เป็นแบบนี้ มีแต่เพิ่ม เพราะเราทำงาน" (โพสต์ต้นทาง https://www.facebook.com/photo/?fbid=1180872764172065&set=a.586524703606877) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ ขอยืนยันว่าการเผยแพร่ข้อความดังกล่าวจากการให้สัมภาษณ์ของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่เป็นความจริง โดยเราขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ลงนามในคำสั่งแต่ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และภายหลังได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี นายโสภณ ซารัมย์ เป็นประธานคณะกรรมการ และมีรองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรองประธานคณะกรรมการดังกล่าว และได้มีกำหนดนัดหมายการประชุมครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 3 พ.ย. 2568 2. ในระหว่างนั้นขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้ประกาศระดมการเข้าชื่อเพื่อเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 43 (3) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อยื่นต่อประธานและรองประธานคณะกรรรมการขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ในวันนัดหมายประชุม ซึ่งมีเนื้อหาข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้ (1) เดินหน้าการดำเนินการให้ "โฉนดชุมชน" ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 ให้เป็นรูปแบบหนึ่งของการกระจายการถือครองที่ดินตามมาตรา 10 (4) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 (2) เดินหน้าการศึกษาและปรับปรุงพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 (ตามบันทึกข้อตกลงของอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) (3) ยุติการเสนอให้ยุบหรือยกเลิกสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) โดยให้สถาบันฯ ดำเนินงานต่อไปจนกว่าครบกำหนดระยะเวลาตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2569 3. ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้ยื่นรายชื่อ 10,000 รายชื่อที่ลงนามสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าวต่อรองนายกรัฐมนตรี นายโสภณ ซารัมย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และรองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะรองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ก่อนการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 เวลา 10.30 น. ณ อาคารสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (ตามข่าว https://www.facebook.com/share/p/1ACEXiUXsi/) ฉะนั้น เรายืนยันว่าพีมูฟไม่ได้มีการยื่นรายชื่อ 2,000 รายชื่อเพื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรมแต่อย่างใด จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน * ข่าว * การเมือง * สังคม * คุณภาพชีวิต * พีมูฟ * พรรคกล้าธรรม * ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม * P-Move

พีมูฟแจงไม่ได้ยื่นรายชื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรมแต่อย่างใด

04.11.2025 10:23 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กมธ.เผยพิจารณาร่าง กม.PRTR ครบทุกมาตราแล้ว เตรียมเสนอสภาฯ สมัยหน้า กมธ.เผยพิจารณาร่าง กม.PRTR ครบทุกมาตราแล้ว เตรียมเสนอสภาฯ สมัยหน้า auser15 Tue, 2025-11-04 - 16:57 โฆษก กมธ. พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....  (PRTR) เผยพิจารณาครบทุกมาตราแล้ว เตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ สมัยหน้า พร้อมยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ และยืนยันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษ 4 พฤศจิกายน 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า ร.ต.อ.วัฒนรักษ์  อำนรรฆสรเดช โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... หรือ ร่างกฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ.วิสามัญ ได้พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวครบทั้ง 8 หมวด 40 มาตรา เพื่อเตรียมเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร นำเข้าสู่วาระ 2 และ 3 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายเปิดเผยข้อมูลมลพิษฉบับแรกของไทย โดยมีเป้าหมาย “ยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ” และยืนยันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องบจากเป็นการบังคับให้แหล่งกำเนิดมลพิษทุกรายต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบ ซึ่งเป็นการคืนสิทธิการรู้ข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนเต็มรูปแบบ ตามหลักการ “สิทธิชุมชนในการรับรู้” ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โฆษก กมธ. กล่าวด้วยว่า ร่างกฎหมายนี้สอดคล้องกับหลักการสากลทั้งอนุสัญญาสตอกโฮล์มและปฏิญญาริโอที่ไทยร่วมลงนาม และไม่มีบทใดจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลแม้แต่น้อย ประเทศไทยเผชิญวิกฤตมลพิษรุนแรงและซับซ้อนมายาวนาน ฝุ่นพิษ PM 2.5 น้ำเน่าเสีย สารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ขยะสารเคมีอันตราย มานานกว่า 4 ทศวรรษ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภูมิภาค สถานการณ์นี้เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ภาคประชาชนร่วมลงชื่อกว่า 11,685 คน ร่วมกันผลักดันร่างกฎหมาย PRTR ฉบับประชาชน และยื่นต่อรัฐสภาเมื่อต้นปี 2567 ควบคู่กับร่างของภาครัฐสภาที่มีเจตนารมณ์เดียวกัน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวยด้วยว่า ร่างกฎหมาย PRTR กำหนดให้มีกลไกกำกับดูแลในระดับนโยบาย โดยให้มี “คณะกรรมการข้อมูลการรายงานและการปล่อยสารมลพิษ” 15 คน มีรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นประธาน ทำหน้าที่ออกเกณฑ์และมาตรการความร่วมมือระหว่างหน่วยราชการเพื่อให้ระบบฐานข้อมูลมลพิษนี้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ กรมควบคุมมลพิษ จะเป็นหน่วยงานหลักดูแลฐานข้อมูลและประเมินความเสี่ยงจากมลพิษ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงง่ายที่สุด นอกจากนี้ยังกำหนดให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องประเมินมลพิษที่ไม่มีแหล่งกำเนิดแน่นอน เช่น มลพิษหมอกควัน เป็นรายปี เพื่อเติมข้อมูลช่องว่างให้ครอบคลุมทุกด้าน เป้าหมายสูงสุด คือให้ข้อมูลมลพิษครบถ้วน ถูกต้อง ทันเวลา และถูกนำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ทั้งในการวางแผนป้องกันภัยสิ่งแวดล้อม-สุขภาพของภาครัฐ และให้ภาคเอกชนตรวจสอบปรับปรุงกระบวนการผลิตของตัวเอง ลดความเสี่ยงและเพิ่มขีดแข่งขันได้ในระยะยาว โฆษก กมธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กมธ.วิสามัญ ใช้เวลาพิจารณาร่างกฎหมาย PRTR ประมาณ 2 เดือน โดยไม่มีการแก้ไขหลักการสำคัญที่ภาคประชาชนเสนอเข้ามา แม้ภาคอุตสาหกรรมจะมีความกังวลโดยเสนอว่าใช้แค่มาตรการประกาศกระทรวงก็เพียงพอ แต่ที่ประชุม กมธ.วิสามัญเสียงข้างมากยืนยันตรงกันว่า การออกเป็นพระราชบัญญัติซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อทุกหน่วยงานเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ทีมผลักดันกฎหมาย PRTR จึงหวังอย่างยิ่งว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สะดุดหรือล่าช้าอีกต่อไป และจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมของทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาโดยราบรื่นในลำดับถัดไป * ข่าว * การเมือง * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * PRTR * พ.ร.บ.การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม

กมธ.เผยพิจารณาร่าง กม.PRTR ครบทุกมาตราแล้ว เตรียมเสนอสภาฯ สมัยหน้า

04.11.2025 10:00 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ศาลฎีกายกคำร้อง สว.สำรอง ชี้ไม่มีอำนาจยื่นให้ 136 สว.ในสภา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ศาลฎีกายกคำร้อง สว.สำรอง ชี้ไม่มีอำนาจยื่นให้ 136 สว.ในสภา หยุดปฏิบัติหน้าที่ auser15 Tue, 2025-11-04 - 16:41 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยกคำร้อง กลุ่มสว.สำรอง ชี้ไม่มีอำนาจยื่นให้ สว.ในวุฒิสภาทั้ง 136 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากยื่นหลัง กกต.ประกาศรับรองผลแล้ว 4 พ.ย. 2568 หลายสื่อ อาทิ ข่าวสด กรุงเทพธุรกิจ และ ผู้จัดการออนไลน์ รายงานตรงกันว่า จากกรณีกลุ่ม สว.สำรองจำนวน 12 คน เดินทางเข้ามายื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อขอให้วินิจฉัยถอดถอนและมีคำสั่งให้ สว.จำนวน 136 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ก่อนที่ศาลนัดฟังคำสั่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าตามที่ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า สว. 136 คน ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการเลือกแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2567 ได้กระทำเพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว. โดยวิธีการที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 มีพฤติการณ์ส่อไปในทางฝักใฝ่พรรคการเมือง ไม่ปฏิบัติตนให้เป็นกลางในทางการเมือง เช่น การลงมตีในเรื่องต่างๆ ไปในทิศทางเดียวกันกับความเห็นของพรรคการเมืองบางพรรค การพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระส่อไม่สุจริต เมื่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้สืบสวนและไต่สวน และมีมติเสนอกกต. เพื่อพิจารณา กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีหนังสือแจ้งผลความคืบหน้าในการสืบสวนต่อประธานกกต. แต่ กกต.มิได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เสร็จภายใน 1 ปี ตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ.2566 ข้อ 72 การกระทำของกกกต.เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ผู้ร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 44 แห่งพ.ร.ป.ดังกล่าว ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้สว. ตามคำร้อง จำนวน 136 คน หยุดปฏิบัฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว และสั่งให้ กกต.ส่งเรื่องหรือความเห็นที่ได้รับมาจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่ส่วน เสนอต่อ กกต. มายังศาลฎีกา นั้น เห็นว่า แม้ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือก การดำเนินการเกี่ยวกับการเลือก และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้งในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ออกตามความในมาตรา 226 วรรรคเจ็ด ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา 8 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 กำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกเป็นสว. การดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกสว. และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง แต่การที่ผู้ร้องทั้งสิบสองอ้างว่า ผู้ร้องใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 44 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. ซึ่งเป็นบทบัญญัติในหมวด 3 การยื่นคำร้องตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวนั้น จะต้องยื่นคำร้องที่เกี่ยวกับขั้นตอนในระหว่างการดำเนินการเลือกสว.ในแต่ละระดับ กล่าวคือ ในระดับดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือระดับประเทศ ดังนั้น เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงว่า กกต.ประกาศผลการเลือก สว.ในราชกิจจานุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.2567 การยื่นคำร้องของของผู้ร้อง จึงเกิดขึ้นภายหลังการประกาศผลการเลือกสว.แล้ว ผู้ร้องย่อมไม่อาจยื่นคำร้องโดยอาศัยบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้ จึงมีคำสั่งยกคำร้อง * ข่าว * การเมือง * ศาลฎีกา * สว.

ศาลฎีกายกคำร้อง สว.สำรอง ชี้ไม่มีอำนาจยื่นให้ 136 สว.ในสภา หยุดปฏิบัติหน้าที่

04.11.2025 09:47 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ครม.อนุมัติต่อสัญญา Moto GP อีก 5 ปี (2570-2574) วงเงิน 3,997.86 ล้านบาท ครม.อนุมัติต่อสัญญา Moto GP อีก 5 ปี (2570-2574) วงเงิน 3,997.86 ล้านบาท auser15 Tue, 2025-11-04 - 14:50 ครม. มีมติเห็นชอบการเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก MotoGP 5 ปี (2570-2574) จำนวน 3,997.86 ล้านบาท - ระบุตั้งแต่ปี 2561-2568 ที่ผ่านมา การแข่งขันรายการนี้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยได้ถึง 24,927 ล้านบาท แฟ้มภาพ สวท.บุรีรัมย์ 4 พฤศจิกายน 2568 นางสาวอัยรินทร์  พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ คือ ให้ประเทศไทยเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจำปี 2570-2574 (5 ปี)  กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจำปี 2570-2574 (5 ปี) จำนวน 3,997.86 ล้านบาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน นางสาวอัยรินทร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการโมโต จีพี ถือเป็นรายการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีความเร็วสูงสุดในโลก ซึ่งนับว่าเป็นกีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ตที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยมีผู้ติดตามการแข่งขันทั้งจากการเข้าชมการแข่งขัน ณ สนามแข่งขัน และรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านระบบการถ่ายทอดในรูปแบบต่าง ๆ กว่า 800 ล้านคน หรือจาก 207 ประเทศทั่วโลก โดยตั้งแต่ปี 2561-2568 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกรายการดังกล่าว ซึ่งนับว่าเป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ถึงศักยภาพด้านการจัดการแข่งขันกีฬาของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมโลก ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการจัดการแข่งขันและการเป็นศูนย์กลางด้านกีฬาในภูมิภาคอาเซียน ทั้งยังส่งเสริมอุตสาหกรรมกีฬา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยได้มากถึง 24,927 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศและก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการแข่งขันที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งผลจากการสำรวจพบว่ามีผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างการแข่งขันเฉลี่ยกว่า 206,240 คนต่อครั้ง ส่งผลให้เกิดรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง และการท่องเที่ยว ดังนั้น เพื่อต่อยอดความสำเร็จดังกล่าวและรักษาความต่อเนื่องในการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กก. จึงมีความประสงค์ขอเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี อีก 5 ปี (ปี 2570-2574) * ข่าว * เศรษฐกิจ * กีฬา * Moto GP

ครม.อนุมัติต่อสัญญา Moto GP อีก 5 ปี (2570-2574) วงเงิน 3,997.86 ล้านบาท

04.11.2025 07:55 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กลุ่มคนพิการร้องเรียนดีเอสไอถูกสวมสิทธิโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล กลุ่มคนพิการร้องเรียนดีเอสไอถูกสวมสิทธิโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล auser15 Tue, 2025-11-04 - 14:24 กลุ่มผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลและตัวแทนคนพิการ ยื่นหนังสือดีเอสไอตรวจสอบสิทธิสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่จัดสรรให้คนพิการและนักกีฬาคนพิการ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกตัดสิทธิ ตั้งข้อสังเกตถูกนำไปจัดสรรอย่างไม่เป็นธรรมหรือให้กลุ่มการเมืองหรือไม่ 4 พฤศจิกายน 2568 Thai PBS รายงานว่า กลุ่มผู้พิการทางสายตา ผู้ด้อยโอกาสและอดีตนักกีฬาคนพิการ รวมกว่า 50 คน เดินทางไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อยื่นเอกสารและหลักฐานการถือสิทธิรับโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอตรวจสอบ โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกดีเอสไอรับเรื่อง นายสำอางค์ ซ่อนกลิ่น ประธานชมรมกลุ่มผู้ค้าสลากรากหญ้าทั่วไทย เปิดเผยว่า ความโปร่งใสในการจัดสรรโควตา มีข้อสงสัยว่ามีขบวนการริดรอนสิทธิจากกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ไม่ได้นำไปแจกจ่ายตามวัตถุประสงค์ ตามโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกตัดสินออกไปก่อนหน้านี้เมื่อปี 2566 จำนวน 2 ฉบับจาก 5 ฉบับ เมื่อเริ่มมีโควตาสลากกินแบ่งดิจิทัลเข้ามาในปัจจุบัน สลากกินแบ่งที่ถูกตัดสิทธิออกไปนั้นกลับไม่ถูกจัดสรรคืนให้กับผู้ที่มีสิทธิเดิมหรือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส นายศุภชัย สงพินิจ อดีตนักกีฬากรีฑาคนพิการทีมชาติไทย กล่าวว่า เมื่อทราบว่าสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย ได้รับโควตาสลากกินแบ่ง แต่กลับไม่ได้นำมาจัดสรรให้กับนักกีฬาตามสิทธิที่ควรจะได้รับ จึงเดินทางมาเรียกร้องให้ดีเอสไอตรวจสอบ และเรียกร้องให้สมาคมจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับนักกีฬาคนพิการ ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ระบุว่า ดีเอสไอได้รับเรื่องนี้ไว้สืบสวน การพิจารณาเบื้องต้นพบข้อมูลเหตุควรสงสัยเรื่องการบริหารจัดการจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่อาจเข้าข่ายการกระทำความผิด แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่เข้าเงื่อนไขเป็นคดีพิเศษ จึงส่งเรื่องให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและการกีฬาแห่งประเทศไทยตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับอาญา เบื้องต้นดีเอสไออยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สลากกินแบ่งรัฐบาล * คนพิการ * หวย

กลุ่มคนพิการร้องเรียนดีเอสไอถูกสวมสิทธิโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล

04.11.2025 07:28 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
รมว.ยุติธรรม ประสาน 'ตร.ภ.9-ผู้การฯ สงขลา' ให้ข้อมูลปม 'นักการเมือง ช.' รมว.ยุติธรรม ประสาน 'ตร.ภ.9-ผู้การฯ สงขลา' ให้ข้อมูลปม 'นักการเมือง ช.' auser15 Tue, 2025-11-04 - 13:55 รมว.ยุติธรรม ประสาน 'ตร.ภ.9-ผู้การฯ สงขลา' ให้ข้อมูลปม 'นักการเมือง ช.' ชี้แม้ไม่มีอำนาจรื้อคดี​ แต่เรื่องไหนยังไม่ทำก็ต้องทำ เรื่องไหนไม่ถูกต้องแก้ไข ยอมรับ​ 7 นักการเมืองเอี่ยวสแกมเมอร์​ ยังได้ข้อมูลไม่ชัด​ ย้ำเป็นปัญหาหลักที่นายกให้ความสำคัญ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม | แฟ้มภาพ Thai PBS 4 พฤศจิกายน 2568 Thai PBS รายงานว่า  พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการเปิดเผยข้อมูลอ้างว่านักการเมือง 7 คน เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ว่า ทางกระทรวงยุติธรรม​ ตรวจสอบแล้ว​ ยังไม่พบข้อมูลที่ชัดเจน​ ไปสอบถามยังไม่มีใครให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่จะพยายามตรวจสอบในส่วนของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญหลักของนายกรัฐมนตรี ส่วน​นักการเมือง​ ช.​ขอตรวจสอบข้อมูลก่อน โดยวันนี้ได้ประสานงานเชิญผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา มาพูดคุยและดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และได้ประสานไปถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ด้วย ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุมคดีพนันออนไลน์ พบความเสียหาย 35,000 ล้านบาท โดยกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ต้องทำการตรวจสอบเพิ่มเติม และช่วงบ่ายวันนี้ หลังประชุมคณะรัฐมนตรีจะกลับไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง สำหรับเมื่อวานนี้ (3 พ.ย.) เอกอัครราชทูตจีนที่มาพบได้ให้ความสำคัญกับเรื่องประสานความร่วมมือทางด้านกฎหมาย และในเรื่องของสแกมเมอร์ ซึ่งได้พบกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการปราบปรามเรื่องนี้อย่างจริงจัง​ และยังได้พบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​ เพื่อได้ร่วมพูดคุยกันด้วย ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะเริ่มมาดูคดีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองใช่หรือไม่ พล.ต.ท.รุทธพล ระบุว่า ขอนำคดีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาตรวจสอบอีกครั้ง ยืนยันว่ากระทรวงยุติธรรมมีอำนาจที่จะดำเนินคดี แต่กำชับให้ทำอย่างถูกต้อง ส่วนไหนที่ยังไม่ได้ทำก็ให้ไปทำ "นักการเมือง ช.ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ได้ประสานไปทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ที่จะต้องมาพูดคุย สิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำก็ควรจะทำ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ควรแก้ไข" พล.ต.ท.รุทธพล  กล่าว พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องของสแกมเมอร์เป็นปัญหาหลัก ซึ่งที่ผ่านมาวอร์รูมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายที่กำลังจะโอนเงิน ซึ่งต้องยอมรับว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำงานอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพอย่างมาก จากนี้จะหยิบยกมาเป็นโมเดลการทำงานให้กองบัญชาการตำรวจภูธรทั้ง 9 ภาค มอนิเตอร์ในเรื่องของการโอนเงิน-บัญชีม้า หากทราบแหล่งที่มาก็จะสามารถเข้าถึงบัญชี และพูดคุยข้อมูลกับผู้เสียหายได้ * ข่าว * การเมือง * กระทรวงยุติธรรม * นักการเมือง ช. * สแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์

รมว.ยุติธรรม ประสาน 'ตร.ภ.9-ผู้การฯ สงขลา' ให้ข้อมูลปม 'นักการเมือง ช.'

04.11.2025 07:01 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
'ประเสริฐ' ยืนยัน สส.เพื่อไทย ไม่เกี่ยวเว็บพนัน เตรียมฟ้องกลับคนพาดพิง 'ประเสริฐ' ยืนยัน สส.เพื่อไทย ไม่เกี่ยวเว็บพนัน เตรียมฟ้องกลับคนพาดพิง auser15 Tue, 2025-11-04 - 12:51 'ประเสริฐ' ยืนยัน สส.เพื่อไทย ไม่เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์ หลังถูกพาดพิง เตรียมหารือให้ฝ่ายกฎหมายฟ้องกลับ ชี้เป็นหนึ่งในประเด็นซักฟอกได้ บอกรวมข้อมูลอยู่ หวั่นรัฐบาลชิงยุบสภาก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการเปิดชื่อ สส.พรรคเพื่อไทยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ว่า หลังจากที่มีการปรากฏเป็นข่าวได้มีการโทรไปพูดคุยกับบุคคลที่ถูกพาดพิง ได้รับคำตอบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยทางพรรคยินดีให้การตรวจสอบเพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ส่วนที่จะมีการดำเนินคดีกลับหรือไม่นั้น เจ้าตัวจะปรึกษากับฝ่ายกฎหมายก่อนเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเองในการกล่าวพาดพิง เกิดความเสียหายที่ต้องดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง เมื่อถามถึงในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้มีการตรวจสอบความเชื่อมโยงของนักการเมืองบ้างหรือไม่ เพราะเมื่อมาเป็นฝ่ายค้านกลับมีการเปิดชื่อนักการเมืองมากขึ้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ในสมัยนั้นมีการปิดกั้นเว็บพนัน และเว็บต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ตามพระราชกำหนดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดทางคอมพิวเตอร์ ที่ตอนนั้นใช้เทคโนโลยีเอไอ หมายถึง เว็บไซต์หรือแอพใดที่เป็นข้อสงสัยจะถูกปิดทั้งหมด ซึ่งในช่วงเวลานั้นใช้เอไอ ปิดได้เยอะพอสมควร ไม่เว้นหน้าไหน ฉะนั้น เรื่องนี้ขณะนั้นได้ตรวจสอบแล้ว และในกรณีที่ปรากฏเป็นคดีเราก็ประสานความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ส่วนจะนำเรื่องดังกล่าวไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นหนึ่งในประเด็นที่ให้ความสำคัญเพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและมีมูลค่าความเสียหายเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลัง โดยในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการรวบรวมข้อมูล ซึ่งขณะนี้มีอยู่หลายประเด็น ส่วนจะไปพูดคุยกับพรรคประชาชนด้วยหรือไม่นั้น ได้มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลในอดีต เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ส่วนพรรคประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำฝ่ายค้านตนไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ได้ร่วมเป็นคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย เมื่อถามว่าได้พิจารณาไว้หรือไม่ว่าหากพรรคพรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลอาจจะชิงยุบสภาก่อน นายประเสริฐ กล่าวว่า เรามองแนวนั้นเช่นกัน หากเรายื่นแล้ว ประธานสภาฯ รับแล้ว รัฐบาลไม่สามารถยุบสภาได้ ฉะนั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์ยุบสภาก่อน อาจจะเป็นการชิงหนี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ได้คาดการณ์เอาไว้ เมื่อถามว่าจะส่งผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ในช่วงเวลาปิดสมัยประชุมสภาฯ ทางพรรคเพื่อไทยพยายามเร่งให้ผ่านวาระ 2 และ 3 ให้เรียบร้อย จึงอยากฝากบอกรัฐบาลว่าควรเร่งดำเนินการด้วย เพราะเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อฝ่ายค้านพบว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นเขาจำเป็นต้องยื่น อย่างไรก็ตาม ความประสงค์ร่วมกันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ควรเร่งดำเนินการ ซึ่งจากไทม์ไลน์หากเร่งดำเนินการจะสามารถทำได้ทันในวาระ 2 และ 3 * ข่าว * การเมือง * พรรคเพื่อไทย * พนันออนไลน์

'ประเสริฐ' ยืนยัน สส.เพื่อไทย ไม่เกี่ยวเว็บพนัน เตรียมฟ้องกลับคนพาดพิง

04.11.2025 06:02 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ถอดโมเดล 'แม่เหียะเมืองอัจฉริยะ' จากเมืองเล็กสู่ต้นแบบ Smart City เชียงใหม่ ถอดโมเดล 'แม่เหียะเมืองอัจฉริยะ' จากเมืองเล็กสู่ต้นแบบ Smart City เชียงใหม่ auser15 Tue, 2025-11-04 - 12:15 เทศบาลเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผลักดัน Smart City ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 24 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสามารถทำได้จริงและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้จะไม่ใช่เมืองใหญ่ก็ตาม ภาพจาก : เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ โลกยุคปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ แนวคิดการพัฒนา "เมืองอัจฉริยะ" (Smart City) จึงกลายเป็นทิศทางสำคัญในการพัฒนาเมืองทั่วโลก นั่นเพราะเมืองอัจฉริยะไม่ได้หมายถึงเพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเดียว แต่เป็นการรวบรวมเทคโนโลยี การสื่อสาร และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) รวมไปถึง AI เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทยเอง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะภายใต้ แผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะประเทศไทย เพื่อยกระดับเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศ สามารถใช้เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาเมือง ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้กับประชาชน และยังเป็นโอกาสสำคัญที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำมาปรับใช้ได้ตามศักยภาพและบริบทของพื้นที่ ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ เทศบาลเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผลักดัน Smart City ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 24 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสามารถทำได้จริงและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้จะไม่ใช่เมืองใหญ่ก็ตาม นายกริณย์พล ไชยยาพิบูล นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ เล่าให้ฟังถึงการทำงานกว่าจะมาเป็นวันนี้ไว้อย่างน่าสนใจ เขาอธิบายว่า แม่เหียะเป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ ถือเป็น "ไข่แดง" ของจังหวัดที่มีศักยภาพสูง มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญใกล้เคียง เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ และในอนาคตอาจมีโครงการกระเช้าขึ้นดอยสุเทพ การเดินทางสะดวก ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียง 2 กิโลเมตร ทำให้เมืองขยายตัวเร็ว ปัจจุบันมีจำนวนประชากรประมาณ 2 หมื่นคน ซึ่งมีความหลากหลาย ประกอบด้วยทั้งชุมชนดั้งเดิม นักธุรกิจ นักวิชาการ และครู อาจารย์ "เราต้องเตรียมเมืองให้พร้อมรองรับการเติบโต ต้องเตรียมทั้งคน ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของแม่เหียะมุ่งเน้นการบริการประชาชนเป็นหลัก โดยนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาจริงและสร้างประโยชน์ที่จับต้องได้กับชาวบ้านในพื้นที่และเป็น Smart City จริง ๆ โดยเฉพาะการบริการประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น” นายกริณย์พล กล่าว ตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา ที่ผ่านมาเทศบาลพัฒนาระบบคำร้องออนไลน์ผ่าน Line ให้ประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ หรือแจ้งซ่อมได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ระบบมีหมายเลขติดตามเรื่องและเชื่อมต่อกับ One Stop Service เพื่อส่งต่อความรับผิดชอบ ซึ่งตอนนี้สามารถตอบสนองการทำงานได้เต็ม 100% เช่น พอมีเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการทันที อีกทั้งระบบนี้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่ม AI เข้ามาช่วยคัดกรองและจัดลำดับความสำคัญด้วย ขณะเดียวกันเทศบาล ยังติดตั้งกล้อง CCTV ประมาณ 300 กว่าจุดทั่วเมือง โดยร่วมมือกับตำรวจในการติดตามเหตุการณ์ ผลคือปัญหาการลักขโมยลดลงเหลือเพียง 0.5% โดยนายกระบุว่า "สมัยก่อนยังมีปัญหาการลักขโมยค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้แทบจะไม่มีเลย นั่นจึงแสดงประสิทธิภาพของระบบในการป้องกันอาชญากรรม ด้วยเทคโนโลยี” รวมไปถึงการใช้โดรนสำรวจข้อมูลพื้นที่ทุก 3 เดือน เพื่อเก็บข้อมูลบ้านครัวเรือน รายละเอียดผู้อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ ระบบสามารถแสดงข้อมูลบนแผนที่แบบเจาะลึกถึงแต่ละบ้าน ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจาก 30-40% เพิ่มขึ้นเป็น 80-85% และจะนำภาษีไปพัฒนาท้องถิ่นต่อไป นายกริณย์พล กล่าวด้วยว่า โครงการล่าสุดที่ทางแม่เหียะให้ความสำคัญคือระบบสัญญาณเตือนภัยน้ำท่วม เนื่องจากแม่เหียะเคยประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลันจากน้ำป่าหลาก ทำให้บ้านเรือนเสียหาย เทศบาลจึงนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีกล้องจับสัญญาณความลึกน้ำผ่านเลเซอร์เข้ามาใช้ เมื่อน้ำสูงถึงระดับอันตราย ระบบส่งสัญญาณเตือนผ่านโทรศัพท์และไลน์ตรงถึงผู้บริหาร สามารถประกาศเตือนประชาชนได้ทันที อย่างไรก็ดีในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่ยังคงต้องพัฒนาต่อไปอีกมาก โดย นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ ยอมรับว่า เทศบาลมีความตั้งใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart City Expo 2025 อย่างเต็มที่ เพื่อศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเทศบาลสนใจเป็นพิเศษใน 3 ด้านหลัก นั่นคือ 1.ระบบไอทีและการบริการประชาชน เพื่อพัฒนาต่อยอดระบบที่มีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.ระบบการขนส่งและจราจร เนื่องจากเป็นเมืองที่เติบโตเร็วและอยู่ใกล้สนามบิน และ 3.การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาคุณภาพอากาศที่ดีของเมือง โดยเห็นว่า งานดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะสามารถเปิดมุมมองความคิด การศึกษาหาความรู้ และการนำมาปรับหรือประยุกต์ใช้ในพื้นที่ได้จริง ตัวอย่างเช่นการจัดงาน Thailand Smart City เมื่อปีที่ผ่านมา เทศบาลได้พบปะหารือกับบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ภายในงาน และนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีไปปรับใช้ในพื้นที่ได้มาก โดยเทศบาลเปิดรับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย บริษัทเอกชน และองค์กรที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนา เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้าน จึงมองว่าการเข้าร่วมงาน Thailand Smart City Expo 2025 เป็นโอกาสเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่จะผลักดันแม่เหียะสู่เมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สำหรับผู้สนใจศึกษาแนวทางพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เหมาะกับเมืองขนาดกลางและเมืองเล็ก โมเดลแม่เหียะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่สามารถเริ่มต้นได้จากการแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างจริงจัง และค่อยๆ ขยายผลไปสู่ระบบที่ครบวงจรต่อไป "เทศบาลจะยังคงพัฒนาระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการใช้ แต่ต้องสร้างคุณค่าและประโยชน์ที่จับต้องได้ และยินดีที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา จะได้เอาความรู้ไปใช้ในงานได้ทันที เพราะตนเองถือว่าเป็นนักบริหารใหม่ แต่อยู่ท้องถิ่นมานานถึง 20 ปี องค์กรไหนที่เข้ามาหารือเรื่องการทำงานร่วมกันกับภาครัฐเอกชน ถ้าได้ประโยชน์กับองค์กรท้องถิ่นและพี่น้องประชาชน ก็ยินดีให้ความร่วมมือ" นายกริณย์พล กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart City Expo 2025 สามารถเข้าชมงานได้ในวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00–18.00 น. ณ ฮอลล์ 3–4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) * รายงานพิเศษ * สังคม * คุณภาพชีวิต * ท้องถิ่น * เชียงใหม่ * แม่เหียะ * Smart City * เทศบาลเมืองแม่เหียะ

ถอดโมเดล 'แม่เหียะเมืองอัจฉริยะ' จากเมืองเล็กสู่ต้นแบบ Smart City เชียงใหม่

04.11.2025 05:18 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
เผย 'ตำรวจไทย-กัมพูชา' จับมือลงนามแผน 2 ปีจัดการ 'สแกมเมอร์' เผย 'ตำรวจไทย-กัมพูชา' จับมือลงนามแผน 2 ปีจัดการ 'สแกมเมอร์' auser15 Tue, 2025-11-04 - 11:53 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย-กัมพูชา ลงนามแผนความร่วมมือป้องกัน-ปราบปรามสแกมเมอร์ มีผลบังคับใช้ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.2568 ถึงวันที่ 22 ต.ค.2570 และลักษณะข้อตกลงเป็นความร่วมมือเสริม ไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน Thai PBS รายงานเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ว่า  พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ กล่าวว่า ไทยได้ประสานความร่วมมือกับกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2564 ในการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกไปร่วมขบวนการคอลเซนเตอร์และที่สมัครใจ จนกระทั่งปี 2568 ได้ส่งตัวคนไทยกลับมาดำเนินคดีรวมแล้ว 249 คน ทั้งนี้ในเดือน ก.ย. ไทยได้มอบข้อมูลเป้าหมายสแกมเมอร์กว่า 62 เป้าหมายในกัมพูชา เพื่อให้กัมพูชาตรวจสอบ นอกจากนี้ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้ลงนามแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ 8 ข้อ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ครอบคลุมการแบ่งปันข่าวกรอง, การปฏิบัติการพร้อมกัน, การส่งผู้ต้องสงสัยและคุ้มครองเหยื่อ โดยมีคณะทำงานร่วม ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.2568 ถึงวันที่ 22 ต.ค.2570 และลักษณะข้อตกลงเป็นความร่วมมือเสริม ไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนในประเทศไทย ผบ.ตร.ได้ตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งตั้งศูนย์วอร์รูมและประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถดำเนินการคืนเงินให้กับผู้เสียหายเร็วสุดภายใน 9 วัน จำนวนกว่า 250 ล้านบาท * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * กัมพูชา * อาชญากรรมออนไลน์

เผย 'ตำรวจไทย-กัมพูชา' จับมือลงนามแผน 2 ปีจัดการ 'สแกมเมอร์'

04.11.2025 05:00 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กฟผ.ออกแถลงการณ์ ดินสไลด์บริเวณที่ทิ้งดินเหมืองแม่เมาะ ไม่กระทบการจ่ายไฟ กฟผ.ออกแถลงการณ์ ดินสไลด์บริเวณที่ทิ้งดินเหมืองแม่เมาะ ไม่กระทบการจ่ายไฟ auser15 Tue, 2025-11-04 - 11:21 กฟผ.ออกแถลงการณ์ ดินสไลด์บริเวณที่ทิ้งดินเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง ทรัพย์สินบางส่วนเสียหาย ไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่กระทบการจ่ายไฟ 4 พฤศจิกายน 2568 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เช้านี้ ว่าได้ตรวจพบการเคลื่อนตัวของมวลดินและเกิดดินสไลด์บริเวณที่ทิ้งดิงดินฝังตะวันตกด้านใต้ (SW Dump) ส่งผลให้อาคารสำนักงาน บริษัท สหกลอิควิปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) และทรัพย์สินบางส่วนได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตและไม่ส่งผลกระทบกับการจ่ายไฟในพื้นที่ภาคเหนือแต่อย่างใด ทั้งนี้ กฟผ.แม่เมาะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ควบคุมพื้นที่ และลงพื้นที่ตรวจสอบโดยละเอียด ซึ่ง กฟผ.แม่เมาะ จะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย * กฟผ. * แม่เมาะ * ลำปาง * ภัยพิบัติ * ดินสไลด์

กฟผ.ออกแถลงการณ์ ดินสไลด์บริเวณที่ทิ้งดินเหมืองแม่เมาะ ไม่กระทบการจ่ายไฟ

04.11.2025 04:24 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
'นันทนา' ยื่นขอตั้งกรรมการตรวจสอบกระบวนการพิจารณาจริยธรรม สว. 'นันทนา' ยื่นขอตั้งกรรมการตรวจสอบกระบวนการพิจารณาจริยธรรม สว. auser15 Tue, 2025-11-04 - 11:07 เมื่อวันที่ 3 พ.ย. โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจาก สว.นันทนา ขอประธานรัฐสภาตั้งกรรมตรวจสอบกระบวนการพิจารณาจริยธรรมของวุฒิสภา หลังถูกมติ สว.ฟันขัดจริยธรรมร้ายแรง สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ว่า  นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับมอบหมายจาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนรับหนังสือจากนางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อขอไห้ตรวสอบการไช้อานาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภาอันจะนําไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ โดย นางสาวนันทนา กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีผู้ร้องเรียนมายังคณะกรรมการจริยธรรม วุฒิสภา ว่า ตนกระทำผิดจริยธรรมด้วยการดูหมิ่นด้อยค่าคนขายหมู ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยกัน ซึ่งคณะกรรมการจริยธรรมฯ ได้รายงานว่าการกระทำของตนเป็นการขัดต่อข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 รวมถึงขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จากนั้นที่ประชุมวุฒิสภา ได้ลงมติ 130 เสียง ว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง และจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) พิจารณาต่อไป ซึ่งตนเห็นว่า การตัดสินของวุฒิสภาดังกล่าว เป็นการอคติและกลั่นแกล้ง เนื่องจากที่ผ่านมาได้เปิดโปงเรื่องการฮั้ว สว. และเรียกร้องให้ สว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างเปิดเผยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่อาจขัดต่อผลประโยชน์ ของ สว.เสียงข้างมาก และได้ถูกขัดขวางการอภิปรายในสภาแทบทุกครั้ง นอกจากนี้ ในคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา มี สว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีฮั้ว สว. เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง จึงไม่ควรมีสิทธิ์เป็นกรรมการพิจารณาตัดสิน เพราะถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง พร้อมมองว่า การพิจารณาโทษที่รุนแรงและไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำ ถือเป็นการทำลายล้างทางการเมือง สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว และทำให้ สว.ขาดอิสระในการแสดงความคิดเห็น ดังนั้น จึงขอให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการตรวจสอบการใช้อำนาจของวุฒิสภาอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาให้รัฐสภาแห่งนี้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ซื่อสัตย์เป็นกลาง รักษาผลประโยชน์ของประชาชนเหนือผลประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง ต้องรักษาให้รัฐสภาเป็นนิติรัฐเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง ด้าน โฆษกประธานสภาผู้แทน ได้รับหนังสือดังกล่าว เพื่อนําเสนอต่อประธานรัฐสภา ดําเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป * ข่าว * การเมือง * รัฐสภา * นันทวโรภาส * สว.

'นันทนา' ยื่นขอตั้งกรรมการตรวจสอบกระบวนการพิจารณาจริยธรรม สว.

04.11.2025 04:11 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
เลขาฯ กกต. เผยต้องตีความประชามติทางไปรษณีย์ เป็นการลงคะแนนล่วงหน้าหรือไม่ เลขาฯ กกต. เผยต้องตีความประชามติทางไปรษณีย์ เป็นการลงคะแนนล่วงหน้าหรือไม่ auser15 Tue, 2025-11-04 - 10:55 เลขาฯ กกต. เผยต้องตีความทำประชามติทางไปรษณีย์ เป็นการลงคะแนนล่วงหน้าหรือไม่ เหตุกฎหมายไม่ได้กำหนด เสี่ยงเป็นโมฆะ แม้ทางธุรการทำได้ แต่ กกต.ไม่ขอเสี่ยง ชี้บัตรเลือกตั้งอำนวยความสะดวกให้ประชาชนอยู่แล้ว NBT Connext รายงานเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงข้อเสนอของนายพริษฐ์ วัชรสิทธุ์ สส.พรรคประชาชน ในการทำประชามติล่วงหน้าผ่านไปรษณีย์ว่า ขอบคุณในการให้ความเห็นเรื่องนี้ ซึ่งการจัดการเลือกตั้งกับการทำประชามติจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คลายกัน ภายใต้หลักเสรีเป็นธรรม โปร่งใส และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน จากนั้นมาดูข้อกฎหมายและระเบียบ กกต.ที่กำหนดไว้ ส่วนการบริหารจัดการก็จะดำเนินการให้เรียบร้อยจนการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ต้องดูผลการเลือกตั้งให้เรียบร้อย ซึ่งสิ่งที่จะทำให้การเลือกตั้งเรียบร้อย คือ กกต.ต้องดำเนินการตามกฎหมาย กกต.พยายามคิดหาวิธีอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยเฉพาะถ้าจัดการเลือกตั้งและการจัดทำประชามติพร้อมกัน  ซึ่งอาจจะมีความซับซ้อน กกต.  ทั้งหมดต้องพิจารณาว่าจะทำได้แค่ไหน ภายใต้ความรับผิดชอบโดยไม่ได้กลัวสิ่งที่ต้องเผชิญ แต่สิ่งที่คำนึงมากที่สุดคือต้องทำให้การเลือกตั้งเรียบร้อย รวมถึงผลการเลือกตั้งด้วย   ทั้งนี้ บางเรื่องสามารถทำเกินกฎหมายได้ หากเป็นงานธุรการในการอำนวยความสะดวก แต่ในบางเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้ เสี่ยงที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ หากทำเกินกว่ากฎหมายกำหนด "เราจะไม่เสี่ยงแม้แต่นิดเดียว ในการที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งและผลการเลือกตั้งเกิดความเสี่ยงเช่นนั้น แต่เมื่อมีข้อเสนอมาอย่างนี้จะมาดูกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะทำได้แค่ไหน เราคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ"นายแสวงกล่าว ส่วนการทำประชามติล่วงหน้าทางไปรษณีย์จะเสี่ยงทำให้กลายเป็นโมฆะหรือไม่หรือทำให้การประกาศผลล่าช้า  นายแสวง กล่าวว่า เรื่องการบริหารจัดการไม่ได้เป็นปัญหา เพียงแต่กฎหมายให้ทำหรือไม่ เช่น กันลงทะเบียนทางไปรษณีย์เป็นการลงคะแนนล่วงหน้าหรือไม่ ซึ่งกฎหมายไม่ให้ทำถ้าเป็นการตีความว่าเป็นการลงคะแนนออกเสียงล่วงหน้า แม้ว่าทางธุรการจะจัดการได้ไม่ได้เป็นปัญหา ซึ่งต้องแยกกันระหว่าง การทำประชามติล่วงหน้าทางไปรษณีย์ กับการทำประชามติทางไปรษณีย์เป็นคนละเรื่องกัน   ซึ่งการทำประชามติทางไปรษณีย์สามารถทำได้ตามกฎหมาย หรือหมายถึงการทำประชามติในวันที่กำหนดให้มีการออกเสียงทำประชามติ ไม่ใช่ทำในวันเลือกตั้งล่วงหน้า และยืนยันว่าในการบริหารการรวมคะแนนไม่ได้มีปัญหา อยู่ที่ว่ากฎหมายให้อำนาจทำหรือไม่ ซึ่งต้องดูว่าการทำประชามติล่วงหน้า กฎหมายกำหนดให้ทำหรือไม่ ที่ไม่ใช่การลงคะแนนออกเสียงในวันทำประชามติ   นายแสวง ยังกล่าวต่อว่า การทำประชามติ ที่จะทำพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปจะเป็นการใช้บัตรเลือกตั้งทั้ง 2 ประเภท การทำประชามตินอกราชอาณาจักรนั้นอาจจะเป็นวิธีอื่น เพราะกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตในการดำเนินการ ซึ่งปกติในการเลือกสส.ทำอยู่แล้ว ลงคะแนนเลือกตั้งทางไปรษณีย์ด้วยสถานทูตมีบุคลากรน้อยแต่มีประชาชนคนไทยในต่างประเทศจำนวนมากก็สามารถลงคะแนนทางไปรษณีย์ได้อยู่แล้ว นายแสวงยังกล่าวถึงข้อเสนอที่จะให้จัดทำบัตรเลือกตั้งที่ใส่ชื่อโลโก้และสีพรรค เพื่อความสะดวกแก่ประชาชน ว่า ข้อเสนอดังกล่าวบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อดำเนินการอยู่แล้ว ส่วนบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต จะมีข้อมูลผู้สมัครทุกคนอยู่ในหน่วยเลือกตั้งอยู่แล้ว แค่เพียงผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเงยหน้าจากคูหาก็จะเห็นรายชื่อผู้สมัคร * ข่าว * การเมือง * กกต. * ประชามติ * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เลขาฯ กกต. เผยต้องตีความประชามติทางไปรษณีย์ เป็นการลงคะแนนล่วงหน้าหรือไม่

04.11.2025 03:57 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
'บวรศักดิ์' โต้ข่าวขยายอายุเกษียณข้าราชการถึง 70 ปี แจงศึกษาขยายแค่ 65 ปี 'บวรศักดิ์' โต้ข่าวขยายอายุเกษียณข้าราชการถึง 70 ปี แจงศึกษาขยายแค่ 65 ปี auser15 Tue, 2025-11-04 - 10:20 'บวรศักดิ์' โต้ข่าวขยายอายุเกษียณข้าราชการพลเรือนถึง 70 ปี แจงศึกษาขยายแค่ 65 ปี ระบุ 'อนุทิน' หวังให้จบในรัฐบาลนี้ สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีมีการนำเสนอข่าวขยายเกษียณอายุราชการพลเรือนจาก 60 ปี เป็น 70 ปี ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะที่ตนให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. ดำเนินการศึกษาเฉพาะกรณีข้าราชการพลเรือน ที่สามารถขยายได้ถึงอายุ 65 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจเรื่องนี้ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา และนำเสนอ เพราะต้องดูผลหลายด้านว่าจะขยายอายุข้าราชการพลเรือนเป็น 65 ปีหรือไม่ แต่ไม่มีการพูดว่าขยายอายุราชการถึง 70 ปี ซึ่งกรณีขยายอายุราชการ 70 ปี เป็นเกณฑ์ของผู้พิพากษา และอัยการซึ่งขยายไปแล้ว และอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ขยายอายุราชการถึง 65 ปีแล้ว “วันนี้พูดถึงเพียงการศึกษาขยายอายุข้าราชการพลเรือนจะขยายอายุถึง 65 ปีหรือไม่ ไม่รวมข้าราชการอื่นๆ ตำรวจก็ไม่รวม เพราะเรื่องนี้มีผลกระทบเยอะ อาทิ คนเกิดน้อย คนตายมากกว่าคนเกิด มีผลกระทบกับงบประมาณ เช่น บำเหน็จ บำนาญ มีผลกระทบสำหรับคนที่เราเป็นหัวหน้าส่วนราชการ และมีผลกระทบต่อคนที่จะเข้ามาเป็นข้าราชการใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ก.พ. ศึกษาร่วมกับกรมบัญชีกลาง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ พร้อมย้ำว่า ไม่ใช่ 70 ปี ไม่เคยพูด“ นายบวรศักดิ์ กล่าว เมื่อถามว่าเรื่องการขยายอายุข้าราชการพลเรือนถึงอายุ 65 ปี จะทันภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ นายบวรศักดิ์กล่าวว่านายกได้พูดกับตนว่าอยากเห็นและตัดสินใจได้ในรัฐบาลนี้ * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * สังคม * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * เกษียณ * บวรศักดิ์ อุวรรณโณ * ข้าราชการ * คนทำงานภาครัฐ

'บวรศักดิ์' โต้ข่าวขยายอายุเกษียณข้าราชการถึง 70 ปี แจงศึกษาขยายแค่ 65 ปี

04.11.2025 03:26 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ทบ.ระบุพร้อมปล่อยตัวเชลยศึก หากกัมพูชาลดระดับความเป็นปฏิปักษ์ต่อไทยและทำตาม 4 ข้อตกลง ทบ.ระบุพร้อมปล่อยตัวเชลยศึก หากกัมพูชาลดระดับความเป็นปฏิปักษ์ต่อไทยและทำตาม 4 ข้อตกลง auser15 Tue, 2025-11-04 - 09:50 โฆษกกองทัพบก ระบุการดูแล 18 เชลยศึกตามหลักสากล พร้อมปล่อยตัวหากกัมพูชาลดระดับความเป็นปฏิปักษ์ต่อไทย และทำตาม 4 ข้อตกลง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 NBT Connext รายงานว่า พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการดูแลเชลยศึกทหารกัมพูชาทั้ง 18 คน ที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่นั้น เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งองค์กรที่ดูแลเรื่องนี้ คือ ICRC ได้ไปเยี่ยมเป็นประจำอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่มีเสียงสะท้อนอะไรที่น่ากังวล ส่วนที่กัมพูชาพยายามกดดันให้ปล่อยตัวทหารทั้ง 18 คนนั้น เงื่อนไขยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตาม 4 ข้อที่ให้ไว้ หากมีการแสดงออกถึงความตั้งใจ ความจริงใจ ทำให้ระดับของการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันลดลงก็ถือว่าเข้าเงื่อนไข สามารถทำได้ และช่วงนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนการมีเชลยศึก 18 คน อยู่ไทยได้ประโยขน์อะไรบ้าง พลตรีวินธัย ระบุว่า ทุกอย่างเราทำตามกติกาสากล หากพูดถึงประโยชน์ที่จับต้องได้นั้นไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประเทศไทยดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ในมาตรฐาน และกติกาสากล พลตรี วินธัย กล่าวถึงกระแสข่าว ว่าจะส่งคืนเชลยศึกทั้ง 18 คน ในสัปดาห์หน้า จริงหรือไม่ ว่าต้องติดตามกันต่อไป  * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * เชลยศึก

ทบ.ระบุพร้อมปล่อยตัวเชลยศึก หากกัมพูชาลดระดับความเป็นปฏิปักษ์ต่อไทยและทำตาม 4 ข้อตกลง

04.11.2025 02:54 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
แนะเสริมศักยภาพการคัดกรอง ชาวต่างชาติหนีมาจาก KK Park แนะเสริมศักยภาพการคัดกรอง ชาวต่างชาติหนีมาจาก KK Park auser15 Tue, 2025-11-04 - 09:35 เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติจากการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ (Scammer) ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา (เขตเศรษฐกิจพิเศษ KK Park) แนะเสริมศักยภาพการคัดกรองในพื้นที่ชายแดน รัฐบาลไทยควรบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและภาคประชาสังคม เพื่อสนับสนุนทรัพยากร บุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และล่ามในพื้นที่จังหวัดตาก เพิ่มประสิทธิภาพในการสัมภาษณ์คัดกรอง แยกเหยื่อค้ามนุษย์ กลุ่มเปราะบาง และผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติจากการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ (Scammer) ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา (เขตเศรษฐกิจพิเศษ KK Park) และข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมมาตรการความมั่นคง การคัดกรอง และการประสานงานกับประเทศต้นทาง ระบุว่า สืบเนื่องจากการปฏิบัติการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ KK Park รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ ได้ส่งผลให้เกิดการหลบหนีของชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามายัง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อหนีภัยความรุนแรงและการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน (TMR) ขอชื่นชมการตอบสนองเบื้องต้นของหน่วยงานในพื้นที่ จังหวัดตาก และกองกำลังนเรศวร ที่ได้ดำเนินการคัดกรองและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้หลบหนีในเบื้องต้นอย่างเต็มความสามารถ ในปี 2568 ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึง ความก้าวหน้าเชิงนโยบายด้านการบริหารจัดการผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ที่มีความเป็นมนุษยธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดยเฉพาะการอนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากประเทศเมียนมาในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่งสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยุติการควบคุมตัวในพื้นที่พักพิงที่ดำเนินมากว่า 40 ปี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ปราบปรามในฝั่งเมียนมาล่าสุดได้ก่อให้เกิด วิกฤตด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย โดยมีชาวต่างชาติจากกว่า 27 สัญชาติ จำนวนมากกว่า 1,500 คน หลบหนีเข้ามายังฝั่งไทย ได้แก่ อินเดีย 465 คน, ฟิลิปปินส์ 220 คน, จีน 186 คน, เวียดนาม 151 คน และเอธิโอเปีย 130 คน เป็นต้น ขณะที่ประเมินว่ายังมีผู้รอข้ามแดนอีกกว่า 1,000 คน ข้อมูลจากหน่วยงานในพื้นที่ระบุว่า มีการดำเนินการคัดกรองแล้ว 747 คน และพบผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ 23 คน ซึ่งเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองภายใต้ กลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism - NRM) ส่วนอีก 680 คน อยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมายคนเข้าเมือง ทั้งนี้ ปริมาณผู้ข้ามแดนจำนวนมากเกินขีดความสามารถของหน่วยงานในพื้นที่ กำลังสร้างภาวะคอขวด (bottleneck) และส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการคัดกรอง การบริหารทรัพยากร และการประสานงานระหว่างประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างแรงกดดันต่อจังหวัดตากและเจ้าหน้าที่ภาครัฐในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศโดยรวม หากไม่สามารถคัดแยก ผู้กระทำผิดออกจากเหยื่อค้ามนุษย์และกลุ่มเปราะบางได้อย่างถูกต้อง ทันท่วงที และมีมาตรฐาน ทั้งนี้ เครือข่าย TMR เห็นว่า เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึง ความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาการค้ามนุษย์ การหลอกลวงทางเทคโนโลยี และความมั่นคงข้ามพรมแดน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงลำพัง ประเทศไทยจึงต้องแสดงบทบาทเชิงรุกพร้อมประสานชาติพันธมิตร องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และความปลอดภัยในภูมิภาคร่วมกัน ข้อเสนอเชิงนโยบายและมาตรการเร่งด่วน 1. เสริมศักยภาพการคัดกรองในพื้นที่ชายแดน รัฐบาลไทยควรบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและภาคประชาสังคม เพื่อสนับสนุนทรัพยากร บุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และล่ามในพื้นที่จังหวัดตาก เพิ่มประสิทธิภาพในการสัมภาษณ์คัดกรอง แยกเหยื่อค้ามนุษย์ กลุ่มเปราะบาง และผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ 2. จัดให้มีระยะเวลาฟื้นฟูไตร่ตรอง (Reflection Period) ที่เหมาะสม เพื่อให้การคุ้มครองผู้ที่อาจเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เป็นไปตามมาตรฐานสากล รัฐบาลควรพิจารณาใช้มาตรการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ชั่วคราวระหว่างการฟื้นฟูและการทบทวนไตร่ตรอง ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงการกักขังในสถานที่ควบคุมของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และให้เวลาเพียงพอสำหรับการประเมินสถานะและให้ความช่วยเหลือ 3. เร่งรัดการประสานงานกับประเทศต้นทาง กระทรวงการต่างประเทศในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการฯ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมียนมา ควรเร่งประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของประเทศต้นทาง เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เช่น อาหารและสิ่งของจำเป็น รวมถึงเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติและการรับกลับประเทศโดยเร็วที่สุด สำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ ควรดำเนินความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เพื่อจัดหามาตรการช่วยเหลือ ติดตามญาติและส่งกลับอย่างปลอดภัย 4. สร้างระบบข้อมูลและกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงานแบบบูรณาการ เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนและลดภาระในระดับจังหวัด ควรจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วม (Joint Operation Center) ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อบริหารสถานการณ์อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน (TMR) ยืนยันความพร้อมในการร่วมมือกับรัฐบาลไทยและทุกภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างระบบการบริหารจัดการผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่มีประสิทธิภาพ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และตอบสนองต่อความท้าทายเชิงความมั่นคงและมนุษยธรรมในปัจจุบัน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างมีมนุษยธรรมและยั่งยืน * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * ความมั่นคง * แม่สอด * เมียนมา * เคเคปาร์ค * KK Park * แก๊งสแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * ชายแดนไทย-เมียนมา * เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน * ค้ามนุษย์ * TMR

แนะเสริมศักยภาพการคัดกรอง ชาวต่างชาติหนีมาจาก KK Park

04.11.2025 02:37 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
วิกฤตการณ์ความชอบธรรม: การถอดถอนฐานันดรเจ้าชายแอนดรูว์ สะท้อนยุทธศาสตร์ความอยู่รอดของราชวงศ์อังกฤษ วิกฤตการณ์ความชอบธรรม: การถอดถอนฐานันดรเจ้าชายแอนดรูว์ สะท้อนยุทธศาสตร์ความอยู่รอดของราชวงศ์อังกฤษ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์   sarayut Mon, 2025-11-03 - 21:31 ขอเริ่มจากการแปลสาระสำคัญของแถลงการณ์ (The Official Statement Translation) แถลงการณ์จากสำนักพระราชวังบักกิงแฮม (Royal Communications) ได้รับการเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2025 มีเนื้อหาสรุปดังนี้: “วันนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีได้ทรงริเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการ เพื่อถอดถอนฐานันดร, พระยศ, และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของเจ้าชายแอนดรูว์” “เจ้าชายแอนดรูว์จะทรงเป็นที่รู้จักในนาม แอนดรูว์ เมานต์แบตเทน-วินด์เซอร์ (Andrew Mountbatten Windsor) นับจากนี้ สิทธิการเช่าที่ประทับ Royal Lodge ได้ให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่พระองค์ในการพำนักอาศัยจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ได้มีการแจ้งอย่างเป็นทางการให้สละสิทธิการเช่าดังกล่าวแล้ว และพระองค์จะทรงย้ายไปประทับในที่พักส่วนตัวอื่น ๆ การถอดถอนเหล่านี้ถือเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าพระองค์จะยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ก็ตาม” “สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินี ทรงปรารถนาที่จะแสดงให้ชัดเจนว่า ความคิดและความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งของทั้งสองพระองค์ มีต่อเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากการละเมิดในทุกรูปแบบ และจะยังคงมีอยู่ตลอดไป” เบื้องหลังวิกฤตและความจำเป็นของการผ่าตัด (The Context and Crisis) การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่เพียงการทำตามขั้นตอนทางพิธีการ แต่เป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาดและมีนัยสำคัญที่สุดต่อการธำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษในยุคที่หลักนิติธรรมและความโปร่งใสอยู่เหนือฐานันดรศักดิ์ วิกฤตการณ์นี้มีรากฐานมาจากเรื่องอื้อฉาวที่กัดกินความชอบธรรมของราชวงศ์มานานนับทศวรรษ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายแอนดรูว์กับอาชญากรทางเพศ เจฟฟรีย์ เอปสตีน (Jeffrey Epstein) และข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศต่อ เวอร์จิเนีย จูฟฟรี (Virginia Giuffre) ขณะที่เธอยังเป็นผู้เยาว์ (อายุ 17 ปี) แม้เจ้าชายแอนดรูว์จะทรงปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด รวมทั้งการให้สัมภาษณ์กับ BBC ในปี 2019 ที่มีข้อสงสัยว่ามีส่วนใดที่เป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ (เช่น การปฏิเสธว่าไม่เคยพบจูฟฟรี แม้จะมีภาพถ่ายยืนยัน หรือการกล่าวว่าได้ตัดขาดจากเอปสตีนแล้ว ทั้งที่มีอีเมลรั่วไหลบ่งชี้ถึงการนัดหมายพบกันอีก) แต่การดันทุรังที่จะ ใช้สิทธิการเช่าที่ประทับ Royal Lodge ซึ่งเป็นบ้านพักอันหรูหราที่มีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ติดอยู่ ได้กลายเป็น จุดอ่อน ที่ทำให้ราชบัลลังก์ถูกโจมตีจากสาธารณชนอย่างหนัก ความพยายามในการพำนักอาศัยในบ้านพักที่มาพร้อมกับสถานะเจ้าชายโดยไม่ยอมรับผิดชอบต่อความผิดพลาด ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณชนอังกฤษอย่างรุนแรง "ความกล้าหาญเชิงสถาบัน" เพื่อความอยู่รอด (The Imperative for Institutional Courage) การตัดสินใจของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในการ ถอดถอนยศและฐานันดรทั้งหมด พร้อมทั้ง การบังคับให้สละสิทธิการเช่าที่ประทับ จึงถือเป็น ความกล้าหาญเชิงสถาบัน (Institutional Courage) ที่จำเป็นต้องแสดงออกเพื่อ รักษาความอยู่รอดของราชบัลลังก์ไว้ในระยะยาว การกระทำนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสาธารณชนทั่วโลกว่า สถาบันกษัตริย์จะไม่สามารถให้การปกป้องแก่สมาชิกที่มีข้อกล่าวหาอันร้ายแรงทางอาชญากรรมทางเพศได้อีกต่อไป และได้เลือกที่จะยืนหยัดเคียงข้างหลักการทางจริยธรรมที่สังคมยอมรับ การดำเนินการนี้เปรียบเสมือนการ "ผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นพิษออก" จากองค์กรเพื่อหยุดยั้งความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์ในฐานะสถาบันที่สูงส่งทางศีลธรรม นอกจากนี้ การที่แถลงการณ์ได้ปิดท้ายด้วยการแสดง ความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากการละเมิดในทุกรูปแบบ นั้น เป็นการแสดงจุดยืนที่สำคัญยิ่งต่อแรงกดดันทางสังคม แสดงให้เห็นว่าราชวงศ์เข้าใจถึงบริบทของศตวรรษที่ 21 และพร้อมที่จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับความถูกต้องทางจริยธรรม ซึ่งนี่คือราคาที่ราชบัลลังก์ต้องจ่ายเพื่อแลกกับการ ดำรงความชอบธรรม และการยอมรับจากสาธารณชนในอนาคต บทสรุปเชิงวิพากษ์และเปรียบเทียบ เจ้าชายแอนดรูว์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โปรดของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ต้องสูญเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่งทางทหาร, การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง, ตำแหน่ง Duke of York, และล่าสุดคือ สถานะความเป็นเจ้าชาย นี่คือการแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของกลไกการอยู่รอดของราชวงศ์อังกฤษ ที่ตระหนักว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนคือรากฐานเดียวที่ยั่งยืนของสถาบัน ในทางกลับกัน เมื่อมองย้อนกลับมายังสถาบันกษัตริย์ไทย ที่ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประท้วงในปี 2020) และมีการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์นั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในยุทธศาสตร์การอยู่รอด ราชวงศ์อังกฤษเมื่อเผชิญกับการต่อต้านและการตั้งคำถามจากประชาชน ก็พร้อมที่จะปรับตัวและสละสมาชิกที่สร้างปัญหาเพื่อรักษาความเชื่อมั่นหลักของสถาบันไว้ ส่วนในบริบทของไทย การที่ความเห็นของประชาชนยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเท่าทัน และมีการใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อควบคุม และปิดกั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะเปิดรับและปรับปรุงนั้นย่อมทำให้เกิดคำถามที่สำคัญยิ่งเกี่ยวกับแนวทางการธำรงไว้ซึ่งความชอบธรรมและความผูกพันระหว่างสถาบันกับประชาชนในระยะยาว     เกี่ยวกับผู้เขียน: ศ ดร ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เป็นนักวิชาการประจำ ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงได้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต   * บทความ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ * ม.112 * เจ้าชายแอนดรูว์ * อาชญากรรมทางเพศ * เจฟฟรีย์ เอปสตีน * การล่วงละเมิดทางเพศ * เวอร์จิเนีย จูฟฟรี

วิกฤตการณ์ความชอบธรรม: การถอดถอนฐานันดรเจ้าชายแอนดรูว์ สะท้อนยุทธศาสตร์ความอยู่รอดของราชวงศ์อังกฤษ

03.11.2025 14:49 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
รางวัลนักปกป้องสิทธิถึง ‘ทนายอานนท์’ ยืนยันสู้แม้เจออุปสรรค รางวัลนักปกป้องสิทธิถึง ‘ทนายอานนท์’ ยืนยันสู้แม้เจออุปสรรค ภาพและรายงาน แมวส้ม admin666 Mon, 2025-11-03 - 20:24 3 พ.ย. 2568 ที่ จิม ทอมป์สัน อาร์ท เซ็นเตอร์ องค์กร Front Line Defenders จัดงานมอบรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ประจำปี 2025 ให้ อานนท์ นำภา ในฐานะทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีบทบาทส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันตรายในชีวิต โดยมี Alan Glasglow , Executive Director ของ Front Line Defenders เดินทางมาจากไอร์แลนด์เข้าร่วมด้วย แม้ว่าอานนท์ไม่สามารถเดินทางมารับรางวัลด้วยตัวเองได้ เพราะยังถูกคุมขังในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยปัจจุบันเขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ บรรยากาศวันนี้ มีครอบครัวของอานนท์ นำภา องค์กรสิทธิมนุษยชน ตัวแทนสถานทูต และประชาชนมาร่วมงาน โดยเริ่มจาก Alan Glasglow , Executive Director ของ Front Line Defenders เป็นผู้กล่าวเปิด ต่อด้วย ปฐมพร แก้วหนู ครอบครัวของ อานนท์ นำภา เป็นตัวแทนขึ้นกล่าวพูดขอบคุณและรับรางวัลแทน ต่อด้วยพูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษชน กล่าวถึงอานนท์ปิดท้ายพิธีรับรางวัล ด้าน ปฐมพร แก้วหนู ได้อ่านจดหมายที่อานนท์ นำภา ฝากข้อความออกมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวขอบคุณสำหรับรางวัลนี้ว่า  “เป็นเกียรติและซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกได้รับพลังอย่างมหาศาลสำหรับการต่อสู้บนเส้นทางข้างหน้า เส้นทางที่มืดมิดกึกก้องไปด้วยเสียงคำรามของปีศาจในนามของสังคมเก่า ผมและเพื่อนๆ ของผมเกิดและเติบโตในสังคมเก่า ประหนึ่งนกที่เกิดและเติบโตในกรง บรรพบุรุษของเราถูกกดขี่และถูกหลอกลวงด้วยความคิดที่ล้าหลังและไร้เหตุผล อำนาจของสังคมเก่าสร้างโฆษณาชวนเชื่อกล่อมเกลา และหลายครั้งก็บังคับให้เราเชื่อว่ามนุษย์มิได้เกิดมาเท่าเทียมกันหากแต่มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง และอีกกลุ่มเป็นผู้ถูกปกครอง บรรพบุรุษของเราพยายามลุกขึ้นท้าทายและเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อนั้น พยายามถากถางทาง สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มบ้างลุกบ้าง แต่ความพยายามนั้นไม่เคยหยุด ไม่เคยขาดสาย การต่อสู้กับสังคมเก่าได้ถูกส่งไม้ต่อมาจนถึง “รุ่นเรา”   วันนี้ ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงสังคมเก่าได้เกิดขึ้นทุกมุมโลก ในยุคที่การกดขี่ย่ามใจ พยายามขยายพื้นที่กินขอบเขตของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กินพื้นที่ในการแสดงออกและการต่อต้านในวิธีอื่น ๆ ด้วยความหวังจะหวนคืนสู่สังคมเก่าและกำจัดสังคมใหม่มิให้ก่อเกิด ในประเทศผมก็เช่นกัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด การปราบปรามถูกนำมาใช้ การเข่นฆ่าเอาชีวิต การยัดเยียดข้อหาจับขัง การตัดสิทธิทางการเมืองและการกดให้หมอบกราบต่อสังคมเก่า กลายเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติ ทว่าพวกเรา มิได้สยบยอม เมื่อปี 2563 พวกเราลุกขึ้นสู้ในนาม “ราษฎร 2563″ เพื่อสานต่อการต่อสู้ของบรรพบุรุษ การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นโดยกว้างขวางและแหลมคม ด้วยความเชื่อว่าเสรีภาพและความเสมอภาคจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการต่อสู้ และด้วยการลุกขึ้นสู้ในครั้งนั้น ผลคือผู้คนในสังคมของผมได้ตื่นจากภาพลวงตาที่สังคมเก่าสร้างขึ้นและใช้กดขี่พวกเรา ระหว่างการต่อสู้ บาดแผลทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น การล้มลงในทุกครั้งทำให้เราทนทานต่อความเจ็บปวดและยืนได้อย่างมั่นคง รางวัลนี้ไม่ใช่เหรียญตราที่ประดับบนปีกของนก หากแต่เป็นสายลมใต้ปีก เป็นพลังที่หนุนเสริมให้พวกเราโบยบินไปคว้าชัยในที่สุด เข้ามา! เข้ามา! อุปสรรคทั้งหลาย เสียงขู่คำรามทั้งหลาย จงดาหน้าเข้ามา พวกเราจะสู้เพื่อให้มันจบในรุ่นเรา! ด้วยความขอบคุณ เชื่อมั่น และศรัทธา  อานนท์ นำภา เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 8 พฤษภาคม 2568“ อย่างไรก็ตาม อานนท์ นำภา นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Front Line Defenders สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ตกอยู่ในความเสี่ยงนี้ ก่อนหน้านี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทวีปเอเชียหลายคนเคยได้รับรางวัลนี้ ทั้งจากจีน กัมพูชา ศรีลังกา อัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ เป็นต้น แต่ไม่เคยมีคนไทยได้รางวัลนี้มาก่อน . รางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักในระดับชาติและนานาชาติต่องานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเผชิญกับความเสี่ยงภัยจากการคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการทำงานหรือเคลื่อนไหวของตน และยังเปิดโอกาสให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้สื่อสารประเด็นสิทธิมนุษยชนที่กำลังดำเนินการอยู่  . ในปีนี้ รางวัล Front Line Defenders ได้ถูกมอบให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก 5 ทวีป ได้แก่  Luc Expedite Zinsou Agblakou จากประเทศเบนิน, Sharifakhon Madrakhimova จากประเทศอุซเบกิสถาน, องค์กร “Mondha” (The Movement for Human Rights, Peace, and Global Justice) จากประเทศโดมินิกันและเฮติ, Mhamed Hali จากเวสเทิร์นซาฮาร่า และอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จากประเทศไทย โดยมีพิธีรับรางวัลที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีพิธีรับรางวัลที่ประเทศไทยอีกครั้งในวันนี้ * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * อานนท์ นำภา * Frontline Defenders * ปฐมพร แก้วหนู

รางวัลนักปกป้องสิทธิถึง ‘ทนายอานนท์’ ยืนยันสู้แม้เจออุปสรรค

03.11.2025 13:33 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ถอดบทเรียน ชิลี ไอซ์แลนด์ ทำไมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ‘ล้มเหลว’ ? ถอดบทเรียน ชิลี ไอซ์แลนด์ ทำไมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ‘ล้มเหลว’ ? See Think Mon, 2025-11-03 - 19:02 เนื้อหาในรายงานชิ้นนี้สรุปจากการเลคเชอร์ที่สำนักข่าวประชาไท เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2568 โดย ดร.อภินพ อติพิบูลย์สิน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนและรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ ว่าด้วยทุกแง่ทุกมุมที่คนไทยควรรู้เกี่ยวกับการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งในไทยและต่างประเทศ รายงานชิ้นนี้ ซึ่งเป็นรายงานตอนสุดท้าย จะเน้นไปที่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในต่างประเทศ รวมถึงการถอดบทเรียนจากความพยายามร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ล้มเหลวของชิลีและไอซ์แลนด์ อ่านบทความตอนแรกได้ที่นี่ * หนทางสู่รัฐธรรมนูญใหม่ เหตุใดขั้นตอน ‘กำหนดหลักเกณฑ์’ จึงสำคัญที่สุด ? รธน.ใหม่ทั้งฉบับมักเกิดหลังวิกฤตการเมือง อาจารย์นิติศาสตร์ มธ.กล่าวว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญระหว่างปี 2018-2023 ที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศแล้วสามารถทำสำเร็จได้นั้น ส่วนใหญ่มักเป็นการทำรัฐธรรมนูญหลังจากที่ประเทศเผชิญวิกฤตการเมืองหรือเป็นกรณีที่มีรัฐประหาร  “มันก็เลยทำให้ร่างฯ มันต้องผ่าน ทุกคนมาคุยกันจริงๆ มันเป็นไฟล์ทบังคับ คุณต้องคุยกันให้ได้ หาทางทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้ได้” แต่เมื่อมามองบริบทในไทย เขามองว่า ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นที่เกิดวิกฤตทางการเมืองหรือวิกฤตศรัทธาที่ในแบบที่ทำให้ทั้งสังคมเห็นพ้องว่าต้องทำรัฐธรรมนูญใหม่ “การที่ (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) อยู่มาจะเป็น 10 ปีแล้ว ก็จะเป็นปัญหาอีกว่าพอจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คนก็จะบอกว่าอ้าว ของเก่าก็อยู่กันได้ ไม่มีใครตาย ทำไมคุณต้องอยากได้รัฐธรรมนูญใหม่ขนาดนี้” พอดูสถิติในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ รัฐธรรมนูญที่ประสบความสำเร็จในการร่างใหม่ทั้งฉบับนั้นมักจะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีข้อกังขาในด้านความเป็นประชาธิปไตย เช่น ประเทศแอลจีเรีย (2020), บุรุนดี (2018), ชาด (2018), คิวบา (2018), จอร์เจีย (2018), คีร์กีซสถาน (2021), ตูนิเซีย (2022) อภินพอธิบายว่าจากตัวอย่างข้างต้น ในบางประเทศก็มีการทำประชามติ แม้โหวตผ่านในท้ายที่สุด แต่ก็มีข้อกังขาด้านความเป็นประชาธิปไตย เช่น มีคนออกมาโหวตน้อยมาก รวมทั้งในขั้นตอนการรณรงค์ก็ไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเท่าที่ควร คำถามก็คือเหตุใดร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จึงผ่านประชามติ  เขาตอบคำถามดังกล่าวโดยอ้างอิงสถิติจากงานวิจัยที่ชื่อว่า The constitutional referendum in historical perspective โดย Zachary Elkins and Alxander Hudson  โดยข้อมูลจากงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 1789 ถึง 2016 พบว่า 168 ครั้งของการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ประสบความสำเร็จ ที่ถูกปฏิเสธมีแค่ 11 ครั้ง นับเป็นเพียง 6% จากทั้งหมดในประวัติศาสตร์  เขากล่าวว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าการแก้รัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆ ที่สำเร็จส่วนใหญ่มักเกิดหลังจากที่ประเทศเผชิญวิกฤตการเมือง มันจึงเหมือนเป็น ‘ไฟต์บังคับ’ ให้คนต้องโหวตประชามติผ่านด้วยความหวังจะออกจากวังวนความขัดแย้งเดิม แม้มีข้อกังขาในความเป็นประชาธิปไตยก็ตาม ซึ่งกรณีของประเทศไทย รัฐธรรมนูญปี 2550 กับ 2560 ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารก็เข้าข่ายกลุ่มนี้เช่นกัน “รัฐธรรมนูญที่มันต้องร่างใหม่เพราะมันเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางการเมืองหรือวิกฤตศรัทธา เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นเหมือนการบังคับว่าถ้าคุณไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คุณก็จะต้องอยู่กันในวังวนแบบนี้ หาทางออกกันไม่ได้ มันจึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะผ่าน ทั้งในสถานการณ์ที่รัฐประหารมาแล้วมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วก็มีการลงประชามติ รัฐธรรมนูญปี 2550 กับ 2560 มันก็อยู่ในกลุ่มพวกนี้เหมือนกัน ที่ลงประชามติแล้วผ่าน” ถอดบทเรียนความล้มเหลวจากชิลี “ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ว่าหลังๆสักประมาณสิบปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีประเทศที่พอเป็นต้นแบบในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งพอไปดูก็พบว่า เออ ก็จริง รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยล่าสุดที่ออกมาแล้วใช้ได้ดีคือฉบับไหน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หลัง ๆ คือมันล้มเหลวซะเยอะ” อภินพอธิบายถึงตัวอย่างประเทศที่มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่เผชิญความล้มเหลวในช่วง ไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ ชิลี ในปี 2022 ที่แม้ว่าในกระบวนการที่มีความประชาธิปไตยค่อนข้างมาก แต่กลับล้มเหลวในขั้นตอนการลงประชามติ ในปี 2020 ชิลีมีการประท้วงครั้งใหญ่โดยมีชนวนเหตุมาจากการขึ้นค่าโดยสารรถไฟใต้ดิน ส่งผลให้มีคนหลากหลายกลุ่มออกมาประท้วงโดยมีการขึ้นค่าโดยสารเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง คนออกมาประท้วงจากความไม่พอใจอื่นๆ ที่สั่งสมมาอยู่ก่อนแล้ว อย่างเช่น กลุ่มเฟมินิสต์ก็ออกมาเรียกร้องในประเด็นความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น จนถึงจุดหนึ่งผู้ชุมนุมที่มาจากหลายกลุ่มก็ดันเรียกร้องไปถึงการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องการ สสร.เลือกตั้ง โดยมองว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นมรดกของเผด็จการปิโนเช่ “เขาทำประชามติกัน 3 รอบ มันเป็นกระบวนการที่คู่ขนานกับ (การชุมนุมประท้วงใน) ประเทศไทย ตรงปี 2020 เหตุเกิดจากการประท้วงของเยาวชนบ้าง เฟมินิสต์บ้าง แรงงานบ้าง ซึ่งประท้วงกันไปเยอะๆ ก็ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกจึงต้องหาทางผ่อนคลายด้วยการยอมจัดประชามติเพื่อแก้ปัญหา…เริ่มแรกคนออกมาประท้วงเรื่องการขึ้นค่ารถไฟฟ้า เฟมินิสต์ออกมาประท้วงเรื่องความรุนแรงในครอบครัว คนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเหล่านี้จุดไฟให้ทุกภาคส่วนที่มีความไม่พอใจระบบดั้งเดิมรู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง แล้วคนก็เห็นเจตจำนงร่วมกันในเรื่องการร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญ เพราะมันเป็นรัฐธรรมนูญจากเผด็จการปิโนเช่ ที่แม้จะผ่านการแก้ครั้งใหญ่มา 2 รอบจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็มีความรู้สึกว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาดในอดีต” อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญของชิลีไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนในการทำประชามติทั้ง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกร่างรัฐธรรมนูญถูกมองว่ามีเนื้อหาซ้ายจนถึงขั้น ‘โว้ค’ เกินไป ฝ่ายขวาจึงโหวตคว่ำ ส่วนในการทำประชามติครั้งที่สอง ร่างรัฐธรรมนูญก็ถูกมองว่าเป็นร่างขวาจัด ฝ่ายซ้ายจึงโหวตคว่ำ ทำให้เราอาจถอดบทเรียนจากชิลีได้ว่า ความล้มเหลวในการมีรัฐธรรมนูญใหม่ส่วนหนึ่งเกิดจากฝ่ายการเมืองเจรจากันน้อยเกินไปทั้งในแง่เนื้อหาและวิธีการ ส่งผลให้กระบวนการทำรัฐธรรมนูญใหม่กลายเป็นการต่อสู้กันของฝ่ายรณรงค์ทั้ง 2 ฝั่งจนไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ได้  “(ประเด็นเรื่องที่มาของ สสร.) มันเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอยู่ ฝ่ายรัฐบาลดั้งเดิมในตอนนั้นก็ยังอยากให้เห็นรัฐสภาครึ่งหนึ่ง ยังต้องการจะคุมเกมอยู่ แต่ฝ่ายผู้ประท้วงซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายขอให้ (สสร.) เลือกตั้งทั้งหมด เพราะต้องการความก้าวหน้า” อภินพชวนให้ดูความต่างระหว่างตัวเลขผู้ออกมาลงประชามติรอบแรกกับประชามติรอบที่สอง โดยจำนวนคนออกมาลงประชามติรอบแรกมีอยู่ 7 ล้านกว่าคนจากผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 15 ล้านคน ซึ่งในรอบแรกเป็นการถามว่าคุณต้องการมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ และต้องการ สสร.แบบใด แน่นอนว่าคนที่ออกมาโหวตส่วนใหญ่ก็คือคนที่อยากแก้รัฐธรรมนูญ ทว่าพอทำประชามติรอบที่สองที่มีคำถามว่าคุณจะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อดูจำนวนคนที่ออกมาใช้สิทธิจะพบว่ารอบนี้มีคนออกมาโหวตเพิ่มขึ้นมา 6 ล้านคน ผลคือร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่ผ่านประชามติ เพราะกลุ่มคนที่ไม่อยากได้รัฐธรรมนูญใหม่พากันออกมาโหวตโนในรอบนี้ ซึ่งเราก็จะไม่เห็นพวกเขามากเท่าไรในประชามติรอบแรก  “ที่อยากให้สังเกตคือจำนวน turnout หรือคนที่มาใช้สิทธิออกเสียง จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านคน มีคนมาใช้สิทธิจำนวน 7 ล้าน…ก็จะเห็นว่ามันเป็นเสียงที่มาจากคนที่มีความต้องการ (ทำรัฐธรรมนูญใหม่) แต่มันไม่ได้เยอะขนาดนั้น อันนี้เราอาจจะคาดหมายในกรณีของประเทศไทยได้ด้วยว่า คนที่ทำประชามติครั้งแรกที่อาจจะตื่นตัวอยากให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ก็อาจจะไม่มาก ซึ่งถ้าไม่มากเนี่ย ก็อาจะหมายความว่าพอประชามติครั้งที่สอง ซึ่งบริบทและเดิมพันมันต่างกัน เราจะเดาผลไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นคนอีกกลุ่มที่ออกมาใช้สิทธิมากกว่า ที่ตอนแรกไม่ออกมา แต่พอเป็นรอบสองจะออกมาใช้สิทธิลงประชามติกัน” “มีนักวิเคราะห์ฝั่งชิลีที่มองว่าความผิดพลาดทั้งหมดของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญชิลีที่ทำให้ไม่ผ่าน คือการตั้งคำถามที่สองตั้งแต่แรก โดยมองว่าเป็นการเลือกข้าง ไม่เอาฝ่ายรัฐบาลดั้งเดิมเข้ามาเกี่ยวข้องในการร่างรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นมันก็ทำให้ผู้มีอำนาจดั้งเดิมแปลกแยกตั้งแต่ต้น ทำให้กระบวนการนี้มีความเป็นการเมืองมากๆ ตั้งแต่ต้น…ซึ่งก็เป็นความเห็นหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ว่า การที่มันล็อกระบบให้ สสร.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ทำให้แม้จะมีการลงประชามติรอบหนึ่งแล้วล้มไป พอทำรอบสองมันก็ยังล็อกอยู่ว่า (สสร.) ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมันก็ทำให้ขยับตัวทำอะไรใหม่ไม่ได้แล้ว” “สุดท้ายมีการทำประชามติสองรอบ รอบแรกในปี 2022 ร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยฝ่ายซ้ายถูกปัดตกไปด้วยคะแนนเสียง 61% ให้ดูจำนวนคนออกมาโหวตรอบนี้คือ 13 ล้านคน ถ้าเทียบกับรอบที่ (คนออกมาโหวตว่าอยากได้รัฐธรรมนูญใหม่) 7 ล้านคน” “การรณรงค์ว่าจะรับหรือไม่รับ เป็นการสู้กันอย่างสุดตัวของฝ่ายการเมือง ตรงข้ามกับรอบแรกที่ฝ่ายการเมืองไม่ได้เข้ามายุ่ง รอบแรกฝ่ายขวาบอกว่า ‘ทำไมไม่ชวนข้าพเจ้าไปร่าง’ รอบสอง ฝ่ายอนุรักษนิยมร่าง ฝ่ายซ้ายก็บอกว่า ‘เรามารณรงค์ไม่รับกัน’ มันก็เลยพลิกไปพลิกมาแบบนี้ ถ้าเราดู turnout (ผู้ออกมาใช้สิทธิ) อยู่ที่ 13 ล้าน ฉิวเฉียดขึ้น เพราะฝ่ายซ้ายก็พยายามรอมชอมให้ความเข้มข้นลดลงให้มันพอคุยกันได้ แต่ตัวนักเคลื่อนไหวก็สู้กันเต็มที่ว่าไม่อยากรับร่างฯ อะไรที่ทำมาโดยฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่ดี” “การพูดว่ามันเป็นร่างฯ ของฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ มันเป็นแค่องค์ประกอบหลักของ สสร. รอบนั้นมาจากใครเป็นหลัก มันไม่ได้หมายความว่าฝ่ายนั้นคุมทั้งหมด มันหมายถึงแค่ตัวหลักๆ ที่มีอิทธิพลมากๆ เป็นใคร” “ฉะนั้น เราจะเห็นธรรมชาติของประชามติว่ารอบแรกกับรอบสองนั้นไม่เหมือนกัน ตอนรอบ 2022 ผมอยู่ที่อเมริกาในตอนนั้น ได้เจอกับคนชิลีที่เป็นนักกฎหมายก็ไม่มีใครชอบ (ร่างรัฐธรรมนูญครั้งนั้น) เขาจะเรียกว่าเป็นร่างฯ ของพวกโว้ค ใส่เรื่องสิทธิมาเยอะ โดยเฉพาะสิทธิของคนชาติพันธุ์ ที่เขาก็รับไม่ได้ คนชิลีก็มองว่าคนชาติพันธุ์ในประเทศของเขาไม่ได้เยอะขนาดนั้น พวกเขาเลยไม่เห็นด้วย…ไปๆ มาๆ เรื่องที่มันก้าวหน้ามากๆ มันกลายเป็นว่าไปเรียกมือเรียกตีนทุกสารทิศให้มาร่วมกันต่อต้าน โดยที่ฝ่ายการเมืองอาจจะไม่ต้องออกแรง” “พอไปเจาะดูร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ผ่าน อย่างที่เราเห็นในชิลี ในแง่เนื้อหามันก็คุยกันไม่รู้เรื่องว่าเราจะแก้กันด้วยเรื่องอะไร เราจะแก้รัฐธรรมนูญใหม่ไปเพื่ออะไร ก็ยังคุยกันไม่จบ ในแง่ที่ว่ารัฐธรรมนูญนี้มันอยู่มานานแล้ว ก็เป็นปัญหาว่าเราก็อยู่กันมาได้ตั้งนาน เพราะฉะนั้นมันก็เลยต่อสู้กันได้ง่ายว่างั้นไม่ต้องรับอะไรที่เราไม่คุ้นเคย อะไรที่เราจะไม่รู้ว่ามันจะดีหรือไม่ดี ก็อยู่กันไปตามระบบเดิมไปก่อนก็ได้” “จะเห็นว่ามันเป็นคู่ขนานอยู่เหมือนกันใช่ไหมระหว่างชิลีกับไทย ของชิลีทำ (ประชามติ) 2 รอบ ก็เป็นเรื่อง (การต่อสู้ของกลุ่ม) การเมืองทั้งสองรอบ แม้ในรอบแรกที่ทำในปี 2022 มีความพยายามจะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง มันมีความก้าวหน้ามากๆ มีความเป็นฝ่ายซ้ายมากๆ พรรคการเมืองอาจไม่ได้ปรากฏตัวมากนัก ก็ทำให้ฝ่ายขวาที่เป็นฝ่ายการเมืองเข้ามาขวางในการรณรงค์ภายหลัง บอกว่า ‘ไม่ได้แล้ว คุณร่างอะไรมา แบบนี้มันไม่น่าจะเวิร์ค’ แล้วก็รณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญไป แต่พอมาปี 2023 สถานการณ์มันกลับกัน ฝ่ายขวาซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายการเมืองที่เป็นรัฐบาลอยู่ตอนนั้นมองว่า ‘งั้นเรามารณรงค์คว่ำของฝ่ายขวากัน’ มันก็เลยเป็นการคว่ำกันไปมาสองรอบ” เมื่อมองมาที่ประเทศไทยในยุคของโซเชียลมีเดีย เขามองว่าเมื่อถึงช่วงที่มีการรณรงค์ประชามติร่างรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มจะกลายเป็นภาวะสงครามข่าวสารอันดุเดือด ประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญหรือมาตราใดก็ตามที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งสูงจะถูกหยิบไปนำเสนอและมีการตีความไปไกลกว่าเจตนาดั้งเดิมของผู้ร่างฯ  “นึกภาพตอนเรารณรงค์ ต่อให้มีการแจกร่างรัฐธรรมนูญทุกครัวเรือนปี 2550 มันไม่ได้มีคนไปอ่าน ถ้านึกภาพในตอนนี้ ก็คงจะมีคนไปพูดในโซเชียลมีเดียว่าร่างฯ มันเป็นแบบนั้นแบบนี้ ออกทีวีว่าแบบนี้ทำไม่ได้ (ถ้าทำแล้ว) ต่อไปมันจะเป็นยังไง จะมีการตีความไปต่างๆ นานา ซึ่งไม่มีทางตรงตามความประสงค์ของผู้ร่าง ก็จะเกิดสงครามข่าวสารขึ้นมาในการรณรงค์ โดยเฉพาะการรณรงค์แบบที่เปิด free 100% สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเต็มที่ (ในวันนั้น) เราก็จะเห็นความเห็นต่างทางการเมืองในแบบที่เราไม่ได้เห็นมานานแล้ว…ทุกคนก็จะมาดูเป็นรายมาตราเลย ไปๆ มาๆ ทุกคนก็จะมีมาตราที่ไม่ชอบ ถ้ามันเป็นร่างฯ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากๆ ในตอนแรก” เขากล่าวด้วยว่า ความรู้สึกร่วมในสังคมคืออีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญใหม่สำเร็จ “สถานการณ์จะเปลี่ยนถ้าทุกคนบอกว่าเราอยู่กับรัฐธรรมนูญ(ฉบับนี้) ไม่ได้แล้ว ผมก็ไม่เห็นว่าเราจะรู้สึกกันแบบนี้ ซึ่งก็แปลกที่ว่าทำไมเราไม่รู้สึก ทำไมเรามีศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจมาก ทำไมเรามีองค์กรอิสระ ทำไมเรามีสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ มันก็ไม่เป็นประเด็นที่คนเรียกร้องกันแล้ว คือเราเรียกร้องกันอยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เงียบไป” “ความยากอย่างหนึ่งของการร่างรัฐธรรมนูญ ผมเลยบอกว่ามันต้องมีตัวตั้งตัวตี มิเช่นนั้นโมเมนตัมมันไม่ไปต่อ ถ้าการร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ถ้าไม่มีคน (ที่มีอำนาจทางการเมือง) คุยกัน ไม่มีคนคอยรณรงค์ กระแสหายแน่นอน และสุดท้ายอาจจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่”  ถอดบทเรียนจากไอซ์แลนด์ สสร. ปลอดนักการเมือง-เน้นให้คนมีส่วนร่วมมาก เหตุใดจึงล้มเหลว อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของไอซ์แลนด์ในปี 2018 ร่างรัฐธรรมนูญของไอซ์แลนด์มักถูกพูดถึงว่าเป็นโมเดลตัวอย่างในแง่การมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องจากมีการระดมความเห็นของประชาชนทางออนไลน์ที่เรียกว่า Crowdsourcing ต่อมาพบว่ามีการนำข้อมูลจากการระดมความเห็นนั้นมาใช้ถึง 10%  การทำรัฐธรรมนูญใหม่ของไอซ์แลนด์เกิดขึ้นเนื่องจากผู้คนเห็นว่ารัฐธรรมนูญเดิมเป็นมรดกของอาณานิคมบวกกับการเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ  “ไอซ์แลนด์ทำเว็บไซต์ขึ้นมาโดยมหาวิทยาลัยกับเอ็นจีโอ ก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนี้ด้วย เลือกเป็นรายประเด็นเลยนะครับ และให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเลยว่าในประเด็นนี้จะเป็นอย่างไร” “สุดท้ายแล้วพอมีคนไปวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญสุดท้ายพบว่ามาจากขั้นตอน Crowdsourcing นี้ประมาณ 10% เลย ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะว่าถ้าเทียบกับการรับฟังความเห็นในกรณีอื่นๆ ส่วนใหญ่มาไม่ถึง 1 หรือ 2% เพราะว่าการรับฟังความเห็นส่วนใหญ่มักเป็นแค่เรื่องพิธีกรรมให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วม” “ถ้า (ประเทศไทย) เราจะทำแบบนี้ก็ทำได้นะครับ เป็นกิมมิกหรือลูกเล่นอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่เราไม่ได้คุยกันชัดเท่าไร เราคุยกันแต่ว่า สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้คุยกันว่าแล้วขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจะทำอย่างไร จะทำแบบเดิมสมัย (สสร.) ปี 2540 ไหม ที่ออกไปรับฟังความคิดเห็นแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการทั่วประเทศ หรือยุคนี้จะต้องใช้อินเตอร์เน็ต ใช้โซเชียลมีเดียแล้ว” ความโดดเด่นในด้านการมีส่วนร่วมยังเห็นได้จากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากคนทั่วๆ ไป ไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่ สสร. มักมีแต่นักกฎหมาย ทำให้กรณีของไอซ์แลนด์ค่อนข้างแตกต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างมาก เนื่องจากไม่มีประเทศใดที่ สสร.จะปราศจากฝ่ายการเมืองได้ขนาดนี้ “ตอนนั้นคนก็มีความหวังว่านี่คือการร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นแค่ที่ปรึกษา ตัวหลักจริงๆ คุณจะเป็นใครก็ได้ เป็นช่าง เป็นนักดนตรี ก็เป็น สสร. ได้หมด”  อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำประชามติผ่าน แต่ว่ารัฐสภาไม่ให้การรับรอง โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าถ้านำรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้จะก่อปัญหาอีกหลายอย่างตามมา “ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือผู้เชี่ยวชาญบอกว่าถ้าเอา (ร่างรัฐธรรมนูญนี้) มาใช้เนี่ยวุ่นวายแน่” บริบทของการทำรัฐธรรมนูญนี้มาจากเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจด้วย คนก็มองว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่อาจจะเป็นทางออก    เมื่อถามว่า ร่างรัฐธรรมนูญของไอซ์แลนด์ผ่านการลงประชามติแล้ว แต่ว่าไม่ได้นำมาใช้ ส่งผลให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า  อภินพกล่าวว่า คนไม่พอใจมีแน่นอน แต่เนื่องจากมีการตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าขั้นตอนประชามติจะเป็น non-binding referendum คือเป็นแค่การลงประชามติที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย จึงไม่ได้เป็นการล็อกว่าผ่านประชามติแล้วจะต้องทำตามผลโหวต “พอเราพูดถึงการร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าเราให้มันเป็นหลุมดำที่นักการเมืองไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นักการเมืองก็ไม่อยากเสี่ยงนะครับ ถ้ามีอะไรผิดหูผิดตานิดหนึ่งก็จะพยายามเป็นปฏิปักษ์ ไม่เอาดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อมันมีร่างฯ ที่ใช่ได้อยู่แล้วในปัจจุบัน ก็ไม่ได้มีใครจะเป็นจะตายมาก ก็อยู่กันได้แบบนี้” แนวคิดการทำรัฐธรรมนูญมาจากไหน ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบอธิบายว่า โมเดลยกร่างรัฐธรรมนูญยุคสร้างชาติของสหรัฐอเมริกา (Philadelphia Convention) คือ ตัวอย่างของความสำเร็จที่เป็นต้นแบบของการทำรัฐธรรมนูญครั้งต่อๆ มา ตัวแทนของแต่ละมลรัฐ ที่ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ต่างก็ประสบปัญหาในการปกครอง เช่น การไม่มีงบประมาณเพียงพอในการแก้ปัญหาหลายด้าน ทำให้พวกเขาเห็นว่าควรแก้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมเพื่อกระจายอำนาจการปกครองตนเองแก่มลรัฐต่างๆ  แม้ว่าจุดประสงค์ของการประชุมในครั้งนั้นคือการแก้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม แต่เมื่อเหล่าผู้ก่อการมาคุยกันก็เห็นว่าควรเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งเป็นการขัดกับคำสั่งของคองเกรสที่ให้อำนาจมาแค่การแก้ไขฉบับเดิมเท่านั้น แต่เหล่าผู้ก่อการนี้ก็รวมตัวกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับเพื่อให้เป็นสหรัฐอเมริกาแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ “เพราะฉะนั้นการร่างรัฐธรรมนูญมันจึงมาควบคู่กับการใช้อำนาจอันล้นพ้น ไร้ขอบเขต เราจะเรียกกันว่า “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ซึ่งคำนี้คือคำที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้บอกว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องกลับไปถามประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” เขากล่าวว่า จากภาพการประชุมที่ฟิลาเดเฟีย เราจะเห็น จอร์จ วอชิงตัน ยืนอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในช่วงการปฏิวัติสหรัฐฯ  ทุกคนนับถือ ฉะนั้นพอเขามาเป็นประธานในคอนเวนชั่น หรือจะเรียกว่าเป็น สสร. ก็ได้ ทำให้ (กระบวนการทำรัฐธรรมนูญ) มีความน่าเชื่อถือขึ้นมา มีรัฐบุรุษคนอื่นๆ ที่อายุมาก มีความน่าเกรงขามอย่าง เบนจามิน แฟรงคลิน นั่งอยู่ด้วย นี่เป็นภาพที่เราแสวงหากันเวลาจัดทำรัฐธรรมนูญ ส่วนของแอฟริกาใต้ เราจะเห็นเนลสัน แมนเดลา มาเป็นตัวหลัก “ผมก็สงสัยมาตลอดว่าในประเทศไทยจะมีตัวละครหลักเหล่านี้ไหม ที่จะเป็นประธานให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าคนนี้ปรารถนาดีกับอนาคตของชาติ ปรารถนาดีกับทุกๆ ฝ่ายและพร้อมจะเป็นคนกลาง” ในขณะเดียวกัน ก็จะมีกลุ่มบุคคลอีกประเภทที่เป็น “ตัวลงแรง” เช่น เจมส์ เมดิสัน, อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน พวกนี้ก็คือนักกฎหมายที่เป็นตัวตั้งตัวตีวางแผนมาตั้งแต่ต้น ดึงคนมาประชุม มาถึงปุ๊บก็โชว์ร่างฯ ที่ตัวเองทำไว้เสร็จแล้ว และมีการล็อบบี้คนในที่ประชุม ผลลัพธ์ที่ได้คือร่างรัฐธรรมนูญที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ แม้ว่ามีอุปสรรคระหว่างทางบ้าง เช่น มีคนลุกออกจากที่ประชุม มีคนไม่ยอมเซ็นรับรอง  ในขั้นตอนสุดท้าย ร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ จะถูกนำกลับไปที่สภาร่างรัฐธรรมนูญของแต่ละมลรัฐ เพื่อให้มีการโหวตรับรองรัฐธรรมนูญนี้ด้วย “มันก็เลยเป็นต้นแบบที่เรานึกถึงเรื่องการลงประชามติ ส่วนหนึ่งก็เริ่มต้นมาจากยุคนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่การลงประชามติโดยตรง แต่ก็เป็นประชาชนที่เลือกตัวแทนเข้าไปใน constitution convention อยู่ดี” * ข่าว * การเมือง * การแก้รัฐธรรมนูญ * การยกร่างรัฐธรรมนูญ * ไอซ์แลนด์ * ชิลี * สสร. * การทำประชามติ

ถอดบทเรียน ชิลี ไอซ์แลนด์ ทำไมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ‘ล้มเหลว’ ?

03.11.2025 12:23 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
'มูลนิธิทำทาง-เครือข่าย' ยื่นหนังสือ รมว.แรงงาน เร่งแก้ปัญหาผู้ประกันตนเข้าไม่ถึงสิทธิทำแท้ง 'มูลนิธิทำทาง-เครือข่าย' ยื่นหนังสือ รมว.แรงงาน เร่งแก้ปัญหาผู้ประกันตนเข้าไม่ถึงสิทธิทำแท้ง ภาพปก: มูลนิธิทำทาง และเครือข่าย ยื่นหนังสือถึง รมว.แรงงาน ช่วยแก้ไขปัญหาผู้ประกันตนเข้าไม่ถึงสิทธิทำแท้ง เมื่อ 3 พ.ย. 2568 (ถ่ายโดย แมวซาโบ) XmasUser Mon, 2025-11-03 - 17:21 มูลนิธิทำงาน-เครือข่าย ยื่นหนังสือ รมว.แรงงาน ติดตามการบังคับใช้ประกาศ สปส. ให้สิทธิประโยชน์ด้านการทำแท้ง หลังพบปัญหาผู้ประกันตนหลายรายถูกปฏิเสธสิทธิ-ไม่ทำเรื่องส่งตัว ตีตราหรือตำหนิให้รู้สึกผิด รวมถึงให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนจนผู้ประกันตนต้องออกค่ารักษาเอง   3 พ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิทำทาง ถ่ายทอดสดออนไลน์วันนี้ (3 พ.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 10.10 น. ที่กระทรวงแรงงาน เขตดินแดง กรุงเทพฯ มูลนิธิทำทาง และภาคีเครือข่าย ได้แก่ 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม Rsathai เครือข่ายท้องไม่พร้อม และกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต เข้ายื่นหนังสือต่อ ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ช่วยติดตามการบังคับใช้ประกาศสำนักงานประกันสังคม ให้สิทธิเบิกค่ารักษายุติการตั้งครรภ์ภายใต้หน่วยพยาบาลของสำนักงานประกันสังคม หลังก่อนหน้านี้พบปัญหาผู้ประกันตนหลายรายเข้าไม่ถึงสิทธิ ถูกปฏิเสธการใช้สิทธิ ถูกตำหนิหรือตีตรา ไปจนถึงการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน จนผู้ประกันตนต้องออกค่าใช้จ่ายเอง   ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง เล่าให้ฟังถึงเหตุผลถึงมายื่นหนังสือวันนี้ (3 พ.ย.) สืบเนื่องจากเมื่อ 19 ก.พ. 2568 สำนักงานประกันสังคมได้ออกประกาศ รง 0626/ว2225 ซึ่งมีสาระสำคัญที่ระบุว่า การยุติการตั้งครรภ์ถือเป็นการเจ็บป่วยทั่วไป ผู้ประกันตนจึงมีสิทธิรับบริการในโรงพยาบาลตามสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งแรงงานไทย และแรงงานต่างชาติ และหากจำเป็นต้องส่งต่อ ก็ให้โรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่จากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิทำทาง ยังคงพบปัญหาการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการจากกองทุนประกันสังคม  * โรงพยาบาลประกันสังคมบางแห่งไม่ให้ยุติการตั้งครรภ์ หรือปฏิเสธการออกใบส่งตัว * เจ้าหน้าที่บางรายขาดความเข้าใจในนโยบายให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน ทำให้ผู้ประกันตนต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง  * ผู้ประกันตนบางคนถูกเลือกปฏิบัติ ตำหนิ หรือตีตราในการติดต่อขอรับบริการ  "ตั้งแต่ตอนที่เขาออกประกาศไปตั้งแต่เดือน ก.พ. มีคนที่ใช้สิทธิได้บ้าง มีคนที่ใช้สิทธิไม่ได้ มีคนที่ต้องต่อสู้นานมากเป็นเดือน กว่าจะได้ใช้สิทธิ สิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่สำนักงานประกันสังคมออกประกาศแล้วมันควรใช้ได้จริงเลย แต่กลายเป็นว่าเราพบว่ามีคนที่ถูกโรงพยาบาลบอกว่าไม่มีบริการ "ไม่มีบริการไม่เป็นไร ตามระเบียบข้อบังคับแพทยสภาคือต้องส่งต่อโดยรวดเร็ว โดยไม่ชักช้า และไม่ถูกตำหนิตีตรา แต่สิ่งที่เราเจอก็คือว่าโรงพยาบาลประกันสังคมพยายามที่จะตำหนิ หรือหว่านล้อมให้ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินให้ประกันสังคมทุกเดือนๆ ตั้งครรภ์ต่อ หรือรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของตัวเอง  "นอกจากนี้ ยังไม่ยอมออกใบส่งตัวให้ไปรับบริการที่อื่นๆ ด้วย สิ่งนี้สำคัญมากคือไม่ให้บริการไม่เป็นไร แต่ต้องรีบออกใบส่งตัวเพื่อให้ประกันสังคมรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เขาจะได้รับบริการที่อื่นต่อ แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น และทำให้ผู้ประกันตนจำนวนมาก นอกจากจะจ่ายเงินประกันสังคมแล้ว แต่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ายุติการตั้งครรภ์เพิ่มเข้าไปอีก" ชนฐิตา กล่าว  ชนฐิตา ไกรศรีกุล (ที่มา: แมวซาโบ) ผู้จัดการ มูลนิธิทำทาง มองว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความล่าช้าในการบังคับใช้นโยบายของสำนักงานประกันสังคม แม้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้งตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น จึงนำมาสู่การยื่นหนังสือโดยมีข้อเรียกร้องถึงกระทรวงแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม ดังนี้ * เร่งรัดการบังคับใช้ประกาศประกันสังคมเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติทั่วประเทศ * ออกแนวปฏิบัติ (Guideline) ชัดเจนให้โรงพยาบาลในเครือข่ายทุกแห่ง เข้าใจสิทธิ และขั้นตอนการส่งต่อผู้ประกันตน * มีระบบกำกับติดตามและตัวชี้วัด เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการได้จริง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนหรือถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม "วันนี้จึงเป็นการยกระดับข้อเรียกร้อง โดยจะเป็นการยื่นหนังสือถึงกระทรวงแรงงาน โดยหวังว่าการที่ ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง น่าจะเข้าใจว่าการที่ท้องไม่พร้อม มันเครียด มันหนัก หรือมันรู้สึกสิ้นหวังมากแค่ไหน และหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าคนจำนวนมากที่ท้องไม่พร้อม ส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มวัยแรงงานเป็นกลุ่มคนที่ประกันสังคม และกระทรวงแรงงานดูแลอยู่แล้ว" ชนฐิตา กล่าวทิ้งท้าย   ด้านปนัดดา ขวัญทอง ที่ปรึกษาสายด่วนให้คำปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม 1663 ระบุว่า วันนี้มาร่วมกับมูลนิธิทำทาง เพราะว่าต้องการสนับสนุนแนวคิดการยุติตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย และต้องการผลักดันเรื่องสวัสดิการกองทุนประกันสังคมให้เกิดขึ้นได้จริง เพราะก่อนหน้านี้มีเคสที่ประสบปัญหาเข้าไม่ถึงสิทธิทั้งเรื่องอคติ และสำนักงานฯ อาจยังสื่อสารได้ไม่ครอบคลุม ทำให้หน่วยงานบริการไม่ทราบว่ามีประกาศของสำนักงานประกันสังคมเกิดขึ้น จึงยังไม่มีการจัดบริการให้ หรือบางแห่งยังไม่ทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง เราเองก็มองว่ากระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงหลักในการจัดการเรื่องนี้ได้ วันนี้เราเลยมายื่นหนังสือที่นี่  ศรีไพร นนทรีย์ สมาชิกสหภาพแรงงานย่านรังสิต ให้สัมภาษณ์เผยว่า ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเจรจากับมูลนิธิทำทาง และเครือข่าย เผยว่า พวกเขาไม่ทราบว่าจะมีการมายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรี ซึ่งเธอชี้แจงกับสื่อว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการพยายามประสานงานนัดยื่นหนังสือมาโดยตลอด โดยเป็นการประสานผ่าน เซีย จำปาทอง สส.พรรคประชาชน แต่เมื่อใกล้จะถึงวันนัด จึงทราบว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่สะดวกมารับหนังสือ เพราะว่าติดภารกิจเกี่ยวกับงานศพ และไม่ไประสานงานเจ้าหน้าที่คนอื่นมารับหนังสือแทน วันนี้พอมาถึงเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบอย่างเดียว และมีท่าทีว่าจะไม่รับหนังสือ  สมาชิกสหภาพแรงงานย่านรังสิต เผยว่า ก่อนมาที่กระทรวงแรงงาน เครือข่ายเคยยื่นหนังสือและพบกับรองเลขาธิการ สำนักงานประกันสังคมมาแล้ว แต่ไม่ได้มีความคืบหน้าเรื่องการแก้ไขปัญหา นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมาเจอรัฐมนตรีตรีนุช โดยหวังว่าการมาเจอรัฐมนตรีหญิงจะเข้าใจผู้หญิงมากขึ้น   อย่างไรก็ดี ในเวลา 11.00 น. เกริกไกร นาสมยนต์ ผู้ตรวจการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และรักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย และกรจิรัฏฐ์ พงจันทร์ศธร ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน มาเป็นตัวแทนรัฐมนตรี รับหนังสือ และกล่าวยืนยันว่าเมื่อเป็นสิทธิ ก็ต้องใช้สิทธิได้ ขณะที่ทางส่วนกลางจะมีการคุยกันก่อนเพื่อหาปัญหาว่าเกิดจากอะไร จากนั้นจะมีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยบริการอีกครั้ง เพื่อสอบถามถึงปัญหา ซึ่งต้องคุยกันอีกที  สำหรับเรื่องกรอบระยะเวลาการดำเนินงานนั้น ทางผู้มารับหนังสือกล่าวแต่เพียงว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ไม่ได้มีการระบุกรอบระยะเวลาให้ชัดเจน  กระทรวงแรงงานมารับหนังสือ สุพีชา เบาทิพย์ ผู้ประสานงานมูลนิธิทำทาง กล่าวถึงความรู้สึกหลังยื่นหนังสือว่า สำหรับเธอไม่รู้สึกว่าได้รับคำมั่นสัญญาจากทางกระทรวงแรงงาน มีเพียงการเข้ามาหารือกับผู้ยื่นหนังสือเท่านั้น โดยเธอคาดหวังว่าทางกระทรวงแรงงานจะกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกันตนมากกว่านี้ หลังจากนี้ ทางมูลนิธิทำทางวางแผนไว้ว่าจะมีการยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการประกันสังคม และบอร์ดคณะกรรมการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม ภายในช่วงกลางเดือนนี้ (พ.ย.) และจะมีการยื่นหนังสือถึงกระทรวงแรงงานอีกครั้งในช่วงเดือน ธ.ค. 2568 เพราะเครือข่ายรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรเพิ่มเติม การแก้ไขปัญหาอาจจะไม่เกิดขึ้น  * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * สิทธิการทำแท้ง * มูลนิธิทำทาง * สุพิชา เบาทิพย์ * ชนฐิตา ไกรศรีกุล * ปนัดดา ขวัญทอง * ศรีไพร นนทรีย์ * สำนักงานประกันสังคม * กระทรวงแรงงาน

'มูลนิธิทำทาง-เครือข่าย' ยื่นหนังสือ รมว.แรงงาน เร่งแก้ปัญหาผู้ประกันตนเข้าไม่ถึงสิทธิทำแท้ง

03.11.2025 11:22 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ศาล รธน.ไม่รับวินิจฉัยคดี MOA 'ปชน.-ภท.' ไม่ได้ล้มล้างการปกครองฯ ศาล รธน.ไม่รับวินิจฉัยคดี MOA 'ปชน.-ภท.' ไม่ได้ล้มล้างการปกครองฯ admin666 Mon, 2025-11-03 - 17:27 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่รับวินิจฉัย 2 คำร้อง กรณี MOA พรรค "ประชาชน-ภูมิใจไทย" ว่าเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่เนื่องจากเห็นว่า เป็นเพียงการเจรจาหรือแสดงเจตจำนงทางการเมือง ไม่มีหลักฐานอื่นที่ทำให้เห็นว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง  3 พ.ย.2568 แฟนเพจของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับการทำข้อตกลง (MOA) จัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน 2 คำร้อง โดยศาลวินิจฉัยยกคำร้องทั้งหมด  คําร้องแรก (เรื่องพิจารณาที่ 29/2564) เป็นของ คงเดชา ชัยรัตน์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า พรรคประชาชน ผู้ถูกร้องที่ 1 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ถูกร้องที่ 2) และ สส.พรรคประชาชน จำนวน 143 คน (ผู้ถูกร้องที่ 3) มีพฤติการเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 จากการทำข้อตกลงร่วมกับอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คงเดชากล่าวอ้างว่า ณัฐพงษ์ และ สส.ของพรรคประชาชน กระทําการตกลงกันเพื่อแบ่งปันอํานาจอธิปไตย ด้วยการบิดเบือนอํานาจบริหารในบางเรื่องที่ควรจะเป็นอํานาจของนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ให้มาเป็นอํานาจแฝงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองนั้น เป็นการทําลายกลไกของระบอบประชาธิปไตย ทําให้ขาดความเข้มแข็งในการถ่วงดุลอํานาจในการปกครองประเทศ  ผู้ร้องระบุว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลให้สัมพันธภาพระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร ขาดความเหมาะสม เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญโดยพรรคประชาชน เสนอยกคะแนนเสียง สส.ของพรรคให้กับพรรคการเมืองใดที่สามารถนํานโยบายของพรรคไปดําเนินการเมื่อพรรคการเมืองนั้นได้เป็นรัฐบาล คือ ให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ นําไปสู่การจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง  ต่อมาผู้ถูกร้องที่ 2 และอนุทินลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOA) และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงคะแนนเสียงเห็นชอบผู้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกร้องที่ 3 ได้ดําเนินการตามบันทึกข้อตกลง (MOA) โดยลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อให้อนุทินได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ถูกร้องทั้ง 3 จะปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายค้าน  ก่อนหน้านี้ คงเดชายื่นคําร้องต่ออัยการสูงสุดแล้ว แต่ทางสํานักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งว่าการกระทําของผู้ถูกร้องทั้ง 3 ยังไม่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ดังนั้น จึงไม่มีเหตุที่อัยการสูงสุดจะพิจารณาดําเนินการแล้ว คงเดชาจึงส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง อัยการสูงสุดจึงมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอ  ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างณัฐพงษ์ กับอนุทิน เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจํานงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 กระทําการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย  นอกจากคำร้องของคงเดชาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังพิจารณาวินิจฉัยคำร้องของอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล (ผู้ร้อง) ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยด้วยรัฐธรรมนูญมาตราเดียวกัน แต่คำร้องของอัครวัฒน์มีเนื้อหาแตกต่างจากของคงเดชาคือในส่วนผู้ถูกร้องที่รวมอนุทินและพรรคภูมิใจไทยเข้ามาเป็นผู้ถูกร้องด้วย  นอกจากนั้นคำร้องของอครวัฒน์ ยังระบุด้วยว่าพรรคประชาชนใช้มติพรรคครอบงำ สส.ของพรรคผูกมัดให้โหวตอนุทินเป็นนายกฯ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 และมาตรา 185 ดังนั้น การกระทําของณัฐพงษ์กับพรรคประชาชนและอนุทินกับพรรคภูมิใจไทยเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง  ผู้ร้องยื่นคําร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา  ดังกล่าวแล้ว แต่อัยการสูงสุดไม่ดําเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องจึงยื่นคําร้อง โดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49  ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องของอัครวัฒน์ไว้วินิจฉัยด้วยเหตุผลทำนองเดียวกับมติต่อคำร้องของคงเดชา * ข่าว * การเมือง * ศาลรัฐธรรมนูญ * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ * อนุทิน ชาญวีรกูล * พรรคประชาชน * พรรคภูมิใจไทย * ล้มล้างการปกครอง * รัฐธรรมนูญ มาตรา 49

ศาล รธน.ไม่รับวินิจฉัยคดี MOA 'ปชน.-ภท.' ไม่ได้ล้มล้างการปกครองฯ

03.11.2025 11:09 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
อาเซียนรับสมาชิกใหม่ ขณะที่หลายปัญหายังแก้ไม่ตก อาเซียนรับสมาชิกใหม่ ขณะที่หลายปัญหายังแก้ไม่ตก ภาพจาก Anwar Ibrahim admin666 Mon, 2025-11-03 - 16:05 ประเทศ ติมอร์-เลสเต เพิ่งจะได้เป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ของอาเซียนอย่างเป็นทางการ และอาจมีการพิจารณา 'ปาปัวนิวกินี' อีกประเทศหนึ่ง ในขณะที่เรื่องนี้สะท้อนบทบาทความเป็นผู้นำของอินโดนีเซียที่ต้องการขยายความร่วมมือในภูมิภาค แต่อาเซียนในปัจจุบันยังคงประสบปัญหาความแตกแยกภายใน และยังมีปัญหาท้าทายเช่นปัญหาของพม่า นักวิเคราะห์จึงพิจารณาว่าการขยายจำนวนสมาชิกตอนนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีจริงหรือไม่ ติมอร์-เลสเต หรือ ติมอร์ตะวันออก ซึ่งเป็นประเทศใหม่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับเข้าเป็นสมาชิกของ "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" หรือ อาเซียน อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีการลงนามคำประกาศในเรื่องนี้ที่การประชุมอาเซียนซัมมิทครั้งที่ 47 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ศูนย์ประชุมกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ทำให้ในตอนนี้สมาชิกอาเซียนเพิ่มมาเป็น 11 ประเทศ หลังจากครั้งสุดท้ายที่มีการเพิ่มสมาชิกใหม่คือเมื่อปี 2542 ที่มีการเพิ่มกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิก ซานานา กุสมาว นายกรัฐมนตรีของติมอร์-เลสเตได้ร่วมพิธีลงนามในกรุงกัวลาลัมเปอร์พร้อมกับผู้นำอาเซียนประเทศอื่นๆ กุสมาวกล่าวว่า การที่ติมอร์-เลสเต ได้เข้าร่วมอาเซียนนั้น นับเป็น "ฝันที่เป็นจริง"  อีกทั้งยังนับเป็น "การก้าวสู่บทใหม่ด้วยแรงบันดาลใจ" ซึ่งจะนำพาโอกาสอย่างใหญ่หลวงสำหรับการค้าและการลงทุนให้กับประเทศ ติมอร์-เลสเต เป็นประเทศที่สถาปนาตัวเองล่าสุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2545 หลังจากที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอินโดนีเซียมาเป็นเวลายาวนาน โดยที่ติมอร์-เลสเต ได้ยื่นขอเป็นสมาชิกอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2554 จึงนับว่าเป็นเวลานานกว่าหนึ่งทศวรรษที่ติมอร์-เลสเต จะสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในทางเศรษฐกิจและสถาบันการเมืองว่าเข้าเกณฑ์มาตรฐานของอาเซียน จนทำให้ได้รับเข้าเป็นสมาชิกในที่สุด โรดแมปรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกเริ่มมาตั้งแต่ปี 2566 แล้วในการประชุมซัมมิทที่อินโดนีเซีย ซึ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถาบันการเมืองในติมอร์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงส่งเสริมการสร้างศักยภาพ ในปีนี้ มาเลเซีย เป็นผู้นำของอาเซียน ตามระบบหมุนเวียนให้แต่ละประเทศผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นำ ทำให้มาเลเซียเสมือนเป็นประเทศที่นำกระบวนการขั้นตอนสุดท้ายที่ทำให้ติมอร์-เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้ทำให้ประธานาธิบดี รามอส-ฮอร์ตา ประมุขของติมอร์-เลสเต ได้กล่าวขอบคุณประเทศมาเลเซียและนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ที่ช่วยสนับสนุนให้ติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนได้สำเร็จ "พวกเราขอขอบคุณมาเลเซียและเหล่าผู้นำอาเซียนทุกคนที่เชื่อใจพวกเราว่าพวกเรามีศักยภาพในการที่จะแสดงความรับผิดชอบของพวกเราในฐานะสมาชิกอาเซียน พวกเราอาจจะยังมีจุดอ่อนอยู่ แต่พวกเราก็ให้สัญญาว่าจะทำการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป" รามอส-ฮอร์ตา กล่าว ติมอร์-เลสเต เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พูดภาษาโปรตุเกส เป็นประเทศที่มีประชากร 1.4 ล้านคน และยังคงพึ่งพาการส่งออกน้ำมันและก๊าซอย่างมาก ในขณะที่ภาคเกษตรและการบริการก็เริ่มมีบทบาทในการสร้างรายได้ให้ประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ในปี 2567 พวกเขามีจีดีพีเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 3.4 เป็น 1,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการประเมินว่าในปี 2568 พวกเขาจะมีจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อกำลังผ่อนคลายลงและมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตามจำนวนจีดีพีในปัจจุบันของติมอร์-เลสเต ยังถือเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เมื่อเทียบกับจีดีพีรวมของประเทศอาเซียนทั้งหมด 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งประชากรราวร้อยละ 42 ของติมอร์-เลสเตก็ยังคงมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน มีประชากร 2 ใน 3 ของติมอร์-เลสเตที่อายุต่ำกว่า 30 ปี แหล่งรายได้หลังของพวกเขาคือน้ำมันและก๊าซก็กำลังร่อยหรอลงเรื่อยๆ การที่ติมอร์-เลสเต เข้าร่วมกับอาเซียนนั้นจะทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อตกลงการค้าเสรี เข้าถึงโอกาสการลงทุน และเข้าถึงตลาดการค้าในระดับภูมิภาคได้ ต้อนรับสมาชิกใหม่ ท่ามกลางปัญหาภายนอกและภายใน การประชุมอาเซียนซัมมิทในครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการประชุมเอเชียตะวันออก ที่มีทั้งสหรัฐฯ, จีน, อินเดีย, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งมีการหารือกันในประเด็นร้อนอย่างกรณีกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ และการเข้าถึงแร่แรร์เอิร์ธ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศมาตรการกำแพงภาษี จีนก็โต้ตอบด้วยการจำกัดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธที่มีความจำเป็นในการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือ ยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้เรื่องนี้ส่งผลต่อทั่วโลก ประเด็นร้อนในอาเซียนประเด็นต่อมาคือวิกฤตประชาธิปไตยพม่า ประเทศที่ในตอนนี้ยังคงอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง อีกประเด็นหนึ่งคือปัญหาเรื่องศูนย์หลอกลวงออนไลน์หรือที่เรียกว่าสแกมเมอร์ระบาดเพิ่มมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนทำให้เครือข่ายแก็งอาชญากรรมทำเงินไปกว่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกัน การประชุมอาเซียนซัมมิทในครั้งนี้พม่าก็ขอสละสิทธิไม่เข้าร่วมด้วย อีกทั้งพม่ายังจะไม่รับไม้ต่อในการเป็นผู้นำอาเซียนถัดจากมาเลเซียในปีถัดไป เพราะในตอนนี้พม่าก็กำลังมีปัญหาสงครามกลางเมือง ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 ทำให้ผู้ที่จะรับไม้ต่อเป็นผู้นำอาเซียนปีต่อไปคือฟิลิปปินส์ ชาร์ส ซานติอาโก ประธานร่วมของกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน APHR เปิดเผยว่าน่าจะมีการหารือกันเรื่องผลพวงของสงครามกลางเมืองในพม่าในที่ประชุมซัมมิทของอาเซียนด้วย แต่ในขณะเดียวกันซานติอาโกก็บอกว่าเขาไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้วกับการประชุมของอาเซียน เพราะเขามองว่ามันกลายเป็นแค่ "โอกาสถ่ายรูปสร้างภาพครั้งใหญ่" ของเหล่าผู้นำมากกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ถึงแม้ว่าอาเซียนจะเคยออกฉันทมติ 5 ข้อเพื่อส่งเสริมให้เกิดสันติภาพในพม่า มาตั้งแต่ปี 2564 รวมถึงมีการตั้งผู้แทนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเจรจายุติความขัดแย้ง แต่ 4 ปีผ่านมาแล้ว นักวิจารณ์ก็มองว่าอาเซียนได้ส่งผลน้อยมากต่อความขัดแย้งในพม่า บางครั้งอาเซียนก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดกลไกในการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่จะทำให้ประเทศสมาชิกยอมทำตามกฎกติกา ทำให้อาเซียนแตกต่างจากการรวมกลุ่มของประเทศอื่นๆ อย่างเช่น สหภาพยุโรป ที่สมาชิกจะต้องปฏิบัติตามกฎและคำตัดสินของอียู คำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้นอกจากจะพาดพิงถึงประเด็นพม่าแล้วยังพาดพิงถึงประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย มาร์โค ฟอสเตอร์ ผู้อำนวยการอาเซียนที่บริษัท Dezan Shira & Associates บอกว่าการรวมกลุ่มของอาเซียนนั้นมีประวัติศาสตร์เฉพาะตัว ตรงที่ตอนตัดสินใจรวมกลุ่มจัดตั้งขึ้นมาในปี 2510 นั้นเป็นช่วงเดียวกับที่หลายประเทศมีการเรียกร้องเอกราชและปลดปล่อยประเทศจากเจ้าอาณานิคม ทำให้เรื่อง "การเป็นอิสระจากประเทศอื่น" กลายเป็นเรื่องที่ถูกให้ความสำคัญในอาเซียน ผลพวงที่ตามมาคือปรัชญาหลักของอาเซียนจึงกลายเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศมีความเอกเทศไม่ก้าวก่ายกัน กลายเป็นว่าแต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องยอมรับกฎของสมาคมให้มาอยู่เหนือการตัดสินใจของตัวเองได้ การขยายจำนวนสมาชิก ในช่วงที่อาเซียนยังเต็มไปด้วยปัญหา นอกเหนือจากติมอร์-เลสเต แล้วมีความเป็นไปได้ว่าอาเซียนอาจจะรับปาปัวนิวกินีเข้าเป็นสมาชิกเพิ่มต่อจากนี้ด้วย แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่ามันอาจจะกลายเป็นการส่งผลเสียต่อความแน่นแฟ้นและประสิทธิภาพของอาเซียน นักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ในเรื่องนี้ คือ เดวิด โคเฮน ผู้อำนวยการศูนย์สแตนฟอร์ดเพื่อความยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ก่อตั้ง-ผู้อำนวยการของศูนย์เพื่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนานาชาติที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับอีกคนหนึ่งคือ อเล็กซานดรา โคค นักศึกษา Knight-Hennessy ที่วิทยาลัยกฎหมายสแตนฟอร์ด และเป็นอดีตเจ้าหน้าที่กิจการระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งโคเฮน และ โคค มองว่าในขณะที่การนับรวมติมอร์-เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนจะสะท้อนความทะเยอทะยานของอินโดนีเซียในการที่จะมีบทบาทนำในภูมิภาค เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นผู้ผลักดันให้ติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนในตอนที่นำเสนอโรดแมป รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของอาเซียนให้ดูมีความแน่นแฟ้นมากขึ้นท่ามกลางการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ทวีความเข้มข้นขึ้นในอินโด-แปซิฟิก แต่ในขณะเดียวกันอาเซียนเองก็ยังมีความปัญหาความขัดแย้งภายในที่ฝังรากลึก โคเฮน และ โคค มองว่าการรับติมอร์-เลสเต กับ ปาปัวนิวกินี เข้าร่วมในช่วงที่อาเซียนเองก็กำลังโคลงเคลงเช่นนี้จะไม่ส่งผลดีต่อความแน่นแฟ้น อีกทั้งยังชวนให้เกิดคำถามต่อเรื่องอัตลักษณ์ตัวตนของอาเซียนในเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงเรื่องบทบาทของอาเซียนในเรื่องความมั่นคงของภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกด้วย นักวิชาการทั้งสองคนนี้มองว่า ทั้งติมอร์-เลสเต และ ปาปัวนิวกินี ต่างก็ยังคงมีปัญหาในตัวเองและไม่มีศักยภาพมากพอที่จะเจรจาหรือปฏิบัติตามพันธกรณีร่วมกันของกลุ่มอาเซียน นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังมักจะแตกแถวไปจากบรรทัดฐานของอาเซียนในเวทีโลกด้วย นักวิเคราะห์มองว่าติมอร์-เลสเตเองก็ยังมีความเปราะบางทางการเมือง, เศรษฐกิจ และความมั่นคง ซึ่งอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาขาดความเป็นอิสระในการตัดสินใจ เพราะยังต้องพึ่งพิงประเทศอื่นๆ หรือยังไม่แข็งแกร่งพอในฐานะตัวแทนในเวทีโลก เช่นกรณีที่ติมอร์-เลสเตต้องพึ่งพาจีนในการเป็นผู้ให้เงินทุนสร้างทำเนียบประธานาธิบดีและอาคารราชการหน่วยงานรัฐอื่นๆ อีกกรณีหนึ่งคือเรื่องที่ถึงแม้ว่าติมอร์-เลสเต จะออกตัวสนับสนุนประชาธิปไตยและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการทหารของพม่า แต่เมื่อใกล้ช่วงที่พวกเขาจะได้เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน ท่าทีของติมอร์-เลสเต ต่อรัฐบาลทหารพม่าก็เริ่มอ่อนลง สำหรับกรณีปาปัวนิวกินีนั้น พวกเขามีความผูกพันกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มิติต่างๆ น้อยยิ่งกว่าติมอร์-เลสเตเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นในด้านประวัติศาสตร์, การเมือง, สถาบัน และเศรษฐกิจ อีกทั้งเวลาที่ปาปัวนิวกินีโหวตลงมติในสหประชาชาติก็มักจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์มากกว่าจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับประเทศอาเซียน สะท้อนว่าปาปัวนิวกินีมีความใกล้ชิดกับภูมิภาคแปซิฟิกมากกว่าอาเซียน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาเรื่องที่พวกเขาประกาศเป็นพันธมิตรทางการทหารกับออสเตรเลียด้วยแล้ว ในแง่ของการบูรณาการทางเศรษฐกิจนั้น นักวิชาการสองคนก็มองว่าอาเซียนมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว การที่นำประเทศติมอร์-เลสเต และปาปัวนิวกินี ที่ยังคงมีเศรษฐกิจที่เปราะบางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วยนั้นอาจจะยิ่งสร้างช่องว่างในด้านการพัฒนา ทำให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายได้ยากขึ้นในเรื่องการมีตลาดเดียวกันและมีฐานการผลิตร่วมกัน โดยที่ทั้งติมอร์-เลสเต กับ ปาปัวนิวกินี ต่างก็มีจีดีพีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค รวมถึงมีประชากรจำนวนมากมีรายได้น้อยกว่าเส้นความยากจน สำหรับเรื่องความมั่นคงนั้น อาเซียนกำลังประสบปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะเรื่องความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ข้อพิพาททะเลจีนใต้ และเรื่องสงครามกลางเมืองในพม่า โคเฮน และ โคค มองว่าการที่ให้ติมอร์-เลสเต กับปาปัวนิวกินี เข้าร่วมอาเซียนด้วยอาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากในเชิงยุทธศาสตร์มากขึ้น จากการที่ปาปัวนิวกินีมีอัตลักษณ์ส่วนใหญ่เป็นชาวเมลาเนเซีย มีความใกล้เคียงและเอนเอียงไปในทางโอเชียเนียกับแปซิฟิก มากกว่าจะอยู่ข้างเดียวกับอาเซียน ส่วนติมอร์-เลสเต นั้นถึงแม้จะอยู่ใกล้ชิดกับอาเซียนมากกว่า แต่ก็ยังคงอยู่ชายขอบในฐานะผู้กระทำการ พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ที่จำกัดในฐานะผู้สังเกตการณ์สำหรับอาเซียน จึงยังไม่ได้แสดงให้เห็นศักยภาพใดๆ ในด้านความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญระยะยาวสำหรับอาเซียน นักวิชาการมองว่าการที่เพิ่มสมาชิกอาเซียนเข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่มีแนวทางที่ชัดเจนก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นการบั่นทอนวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียน การจะเพิ่มสมาชิกเข้ามาจะต้องมีการพิจารณาเรื่องเกณฑ์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ที่จะสามารถขับเคลื่อนโครงสร้างความมั่นคงของภูมิภาคอาเซียนได้ ไม่ว่าจะด้วยวิสัยทัศน์ เป้าหมายหลัก และผลประโยชน์ที่มีความสำคัญต่อภูมิภาค   เรียบเรียงจาก * ASEAN Expansion: Strategic Opportunity or Strategic Drift?, The Diplomat, 14-10-2025 * Timor-Leste Officially Joins ASEAN, Completing Southeast Asia's Geographical Representation, Bernama, 26-10-2025 * ‘Dream realised’: East Timor becomes ASEAN’s 11th member, Aljazeera, 26-10-2025 * ASEAN summit in Malaysia: Who’s attending and what to expect, Aljazeera, 25-10-2025 ข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Timor-Leste  * รายงานพิเศษ * ต่างประเทศ * ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ * อาเซียน * ติมอร์-เลสเต * เอเชียอาคเนย์ * การประชุมซัมมิทอาเซียน ครั้งที่ 47

อาเซียนรับสมาชิกใหม่ ขณะที่หลายปัญหายังแก้ไม่ตก

03.11.2025 09:17 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
‘ณัฐวุฒิ’ โต้คดีสลายชุมนุม 53 ศาลไม่ได้ตัดสิน ‘อภิสิทธิ์’ บริสุทธิ์ แต่คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาล ‘ณัฐวุฒิ’ โต้คดีสลายชุมนุม 53 ศาลไม่ได้ตัดสิน ‘อภิสิทธิ์’ บริสุทธิ์ แต่คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาล admin666 Mon, 2025-11-03 - 12:12 อดีตแกนนำ นปช. แสดงความเห็นโต้แย้ง "อภิสิทธิ์" คนเสื้อแดงที่ถูกสลายชุมนุมเมื่อปี 53 ไม่มีคนใดมีอาวุธ อีกทั้งคดีชายชุดดำศาลก็เคยยกฟ้องคนที่ถูกกล่าวหาไปแล้ว และคดีที่อดีตนายกฯ และ "สุเทพ" ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาศาลอาญาก็ไม่เคยตัดสินว่าบริสุทธิ์ ประเด็นที่ศาลพิจารณาคือคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลเท่านั้น เมื่อ 2 พ.ย.2568 ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)แสดงความเห็นหลังจากเหตุการณ์นิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปทวงถามอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประเด็นการสลายการชุมนุมผู้ชุมนุม ช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 หรือเมื่อ 15 ปีก่อน ก่อนที่อภิสิทธิ์จะเข้าบรรยาย พิเศษที่คณะรัฐศาสตร์  เรื่องที่เกี่ยวข้อง * นิสิตจุฬาฯ ชูป้ายประท้วง 'อภิสิทธิ์' 'สั่งสลาย นปช.ปี'53'-อดีตนายกฯ แจงยกฟ้องแล้วทุกศาล * รวมทุกความตีบตัน: 10 ปีคดีคนตายจากการสลายชุมนุมปี 53 ไปถึงไหน * 10 ปีสลายแดง : ย้อนรอยคดีศาลชี้ 'ตายจากกระสุนทหาร' แต่ยังไม่มีใครรับโทษ อดีตแกนนำ นปช. เริ่มจากขอบคุณนิสิตที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงและชื่นชมที่บรรยากาศการสนทนาทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีการใช้ความรุนแรงก่อนจะวิจารณ์คำตอบของอภิสิทธิ์ที่ระบุว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ โดยเขายืนยันว่าผู้เสียชีวิตทุกรายไม่มีอาวุธ ไม่พบเขม่าดินปืนและเป็นผู้บริสุทธิ์ “ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำทุกรายต่อสู้ในชั้นศาล และศาลพิพากษาถึงที่สุดยกฟ้องทุกคดี จนถึงขณะนี้มีเพียงคดีเดียวที่เพิ่งฟ้องภายหลัง ศาลชั้นต้นยกฟ้องอยู่ระหว่างอุทธรณ์ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี บางรายติดคุกเกือบสิบปีจนศาลชี้ว่าไม่มีความผิดถึงได้รับอิสรภาพ” ณัฐวุฒิระบุ นอกจากนั้น อดีตแกนนำ นปช.กล่าวถึงคดีความที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมครั้งนั้นที่ไม่มีความคืบหน้าแม้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา และเริ่มมีความคืบหน้าในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ใน 4 ประเด็น “1.มอบหมายสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ดำเนินการยื่นประกันตัวผู้ต้องขัง ส.ส.รัฐบาลหลายรายใช้ตำแหน่งเป็นหลักประกัน 2.บางรายที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกัน รัฐบาลออกคำสั่งตั้งเรือนจำพิเศษแยกผู้ต้องขังคดีที่เกิดจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองไปรวมไว้ต่างหาก 3.มีมติครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การเยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทุกกลุ่มทุกฝ่าย ครม.ชุดนั้นถูกปปช.ตั้งกรรมการไต่สวน สู้คดีกว่า 7 ปีจนปปช.ยกคำร้อง 4.มีการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชน 31 ราย ศาลชี้ว่าเสียชีวิตจากอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ 17 ราย อีก 14 รายไม่สามารถระบุได้ ที่เหลืออีก 68 รายยังไม่มีการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตโดยศาล ล่าสุดผมกับญาติผู้เสียชีวิตไปยื่นเรื่องต่อ DSI ให้ดำเนินการ อธิบดี DSI ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะเจ้าของท้องที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า” นอกจากนั้นณัฐวุฒิกล่าวถึง ประเด็นเรื่องคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ดำเนินคดีกับอภิสิทธิ์ และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายนระหว่างวันที่ 7-15 เม.ย.2553 อย่างไรก็ตามประเด็นที่ศาลพิจารณาคือเรื่องเขตอำนาจศาลว่าไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเท่านั้น ไม่ได้พิจารณาว่าอภิสิทธิ์และสุเทพที่เป็นผู้ต้องหาในคดีเป็นผู้บริสุทธิ์  “กรณีประชาชนถูกยิงเสียชีวิตจึงไม่เคยมีคำพิพากษาศาลว่าใครเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะคดีไปไม่ถึงศาล ยังคงพายเรือในอ่างจนปัจจุบัน” ณัฐวุฒิกล่าวถึงความยากในการติดตามเรื่องแต่ก็ยังคงมีประชาชนหลายกลุ่มที่ยังติดตามเรื่องนี้ นอกจากนั้นอดีตแกนนำ นปช.ยังกล่าวแสดงความเห็นถึงการแสดงออกของนิสิตกลุ่มนี้ว่า นิสิตเหล่านี้ต้องการความยุติธรรมสำหรับทุกฝ่ายแต่สิ่งที่แตกต่างคือการชุมนุมของคนเสท้อแดงมีการปราบปรามโดยใช้กำลังทหารหลายหมื่นนาย กระสุนหลายแสนนัด รัฐบาลเวลานั้นมีการประกาศเขตกระสุนจริง นิสตเหล่านี้จึงมาตั้งคำถามกับนายกฯ ในเวลานั้น ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในกรณีคดีที่ DSI ฟ้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเป็นผู้สั่งการนั้นเป็นการฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งภายหลังศาลมีคำสั่งตรงกันตั้งแต่ศาลชั้นต้นถึงศาลฎีกาไม่รับฟ้องเนื่องจากเห็นว่าศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจพิจารณคดีนี้ แต่เป็นอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้มีตำแหน่งทางการเมืองซึ่งอำนาจสอบสวนอยู่ในมือของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)  จากนั้นเมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช. กลับมีมติยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่าทั้ง อภิสิทธิ์ สุเทพ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาซึ่งเป็นหัวหน้า ศอฉ.ที่รับช่วงต่อจากสุเทพในช่วงหลัง 16 เม.ย.-4 ต.ค.2553 เนื่องจากในช่วงเวลานั้นมีประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง อีกทั้งศาลเคยระบุว่าการชุมนุมของ นปช.เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและมีบุคคลที่ใช้อาวุธปืนที่ชุมนุมอีกด้วย  เรื่องที่เกี่ยวข้อง * พวกเขาต้องเป็น 'ชายชุดดำ' ให้รัฐไทยอีกนานแค่ไหน? * ศาลอาญายกฟ้อง 2 จำเลย คดี ‘ชายชุดดำ’ 10 เม.ย.53 พยานโจทก์มีแต่พิรุธ * คดี ‘ชายชุดดำ’ ปี 53 จบอีก 1 คดี ศาลสั่งเป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่ศาลฎีกาเคยยกฟ้องไปแล้ว ทั้งนี้คดีที่ณัฐวุฒิกล่าวว่าศาลยกฟ้องคดีชายชุดดำนั้นเป็นคดีที่มีจำเลย 5 คนได้แก่ กิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรืออ้วน, ปรีชา อยู่เย็น หรือไก่เตี้ย, รณฤทธิ์ สุวิชา หรือนะ, ชำนาญ ภาคีฉาย หรือเล็กและปุณิกา ชูศรี หรืออร ถูกจับกุมภายหลังการรัฐประหาร 2557 และถูกนำตัวไปควบคุมสอบสวนในค่ายทหารก่อนถูกดำเนินคดีจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำที่ปรากฏตัวใช้อาวุธสงครามยิงตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ทหารในคืนวันที่ 10 เม.ย.2553  แต่ภายหลังจากการต่อสู้คดีนานถึง 10 ปี สุดท้ายศาลยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คนไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาทุกคดี  * ข่าว * การเมือง * ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ * อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ * สลายชุมนุมปี 53

‘ณัฐวุฒิ’ โต้คดีสลายชุมนุม 53 ศาลไม่ได้ตัดสิน ‘อภิสิทธิ์’ บริสุทธิ์ แต่คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาล

03.11.2025 05:48 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
นิสิตจุฬาฯ ชูป้ายประท้วง 'อภิสิทธิ์' 'สั่งสลาย นปช.ปี'53'-อดีตนายกฯ นั่งแจงไม่เป็นตามที่ถูกกล่วหา นิสิตจุฬาฯ ชูป้ายประท้วง 'อภิสิทธิ์' 'สั่งสลาย นปช.ปี'53'-อดีตนายกฯ นั่งแจงไม่เป็นตามที่ถูกกล่วหา ภาพปก: ป้ายประท้วงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อ 2 พ.ย. 2568  XmasUser Sun, 2025-11-02 - 19:55 นิสิตจุฬาฯ ถือป้าย "สลายการชุมนุม 53 คนสั่งฆ่าอยู่นี่" ประท้วง 'อภิสิทธิ์' มาบรรยายพิเศษที่คณะรัฐศาสตร์ ด้านอดีตนายกฯ ใช้เวลาชี้แจงนาน 20 นาที ยันไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา คดีฆ่าประชาชนศาลยกฟ้องหมดแล้ว แถมเคยต้านนิรโทษฯ สุดซอยทั้งที่ตัวเองได้ประโยชน์ ด้าน 'ไชยันต์' เผยเชิญมาบรรยาย เพราะเป็นคนที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่อยู่ใต้อาณัติใคร   2 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (2 พ.ย.) เมื่อเวลา 9.53 น. ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือป้ายข้อความ "สลายการชุมนุม 53 คนสั่งฆ่าอยู่นี่" ต้อนรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกเชิญมาเป็นวิทยากรพิเศษในเสวนาเชิงนโยบาย (Policy Talk) หัวข้อ "นโยบายสาธารณะ: ทฤษฎีและการปฏิบัติ" ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หลักสูตรปริญญาเอก สาขานโยบายสาธารณะ ฟังอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชี้แจงถึงข้อกล่าวหาสั่งสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง อภิสิทธิ์ และไชยันต์ จึงขอนั่งคุยกับนิสิตกลุ่มดังกล่าวเป็นเวลา 20 นาที ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมระหว่างที่มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย เขายกข้อสรุปของ ปปช. มายืนยันว่าคำสั่งของเขาในขณะนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา  รวมถึงกรณีที่ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เคยส่งฟ้องเขาในข้อหาสั่งฆ่าประชาชน แต่ยกฟ้องทั้ง 3 ศาลแล้ว ส่วนธาริต ถูกศาลฎีกาสั่งจำคุกจากการที่เขาฟ้องกลับ และศาลตัดสินว่า 'ธาริต' มีเจตนากลั่นแกล้ง อภิสิทธิ์ อธิบายว่า หลักความรับผิดชอบของเขาคือให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยปกติ เขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ในส่วนของความรับผิดชอบ และเป็นเหตุผลที่เขาไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ 'นิรโทษกรรมสุดซอย' ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  "มันเป็นเรื่องแปลกไหมครับ คนที่กล่าวหาว่าผมเป็นฆาตกร พร้อมที่จะยกมือนิรโทษกรรมให้ผม แต่ผมไม่ยอม ถ้าผมไม่บริสุทธิ์ใจ ทำไมผมไม่โดยสารไปเลยล่ะ ก็บอกแล้วจะได้จบกันไป" อภิสิทธิ์ ให้เหตุผลยืนยัน 'ความบริสุทธิ์ใจ' ของเขา นอกจากนี้ อภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการชุมนุมเสื้อแดงว่ามีการใช้อาวุธสงคราม วางระเบิด แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้กล่าวหาผู้ชุมนุม แต่หมายถึงผู้อยู่เบื้องหลัง 'กองกำลังติดอาวุธ' เขากล่าวว่านี่เป็น 'เหตุการณ์เดียว' ที่เจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิตจากอาวุธสงคราม จึงมีการชี้ว่าเป็นการชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  อภิสิทธิ์ อ้างว่า หากไม่มีผู้ติดอาวุธอยู่ในการชุมนุม เหตุการณ์จะไม่ลุกลามเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวหาว่าเขาเป็นคนสั่งฆ่า ต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าคำสั่งไหนของเขาที่สั่งให้ฆ่า เขายืนยันว่าเหตุการณ์ที่ควรต้องหาข้อเท็จจริงอย่างถึงที่สุดคือการลอบสังหาร 'เสธ.แดง' และกรณี '6 ศพ วัดปทุมฯ' ย้ำว่าทั้งสองเหตุการณ์ไม่ใช่คำสั่งของตน รวมถึงการสลายการชุมนุมที่เขามั่นใจว่าคำสั่งชัดเจนให้หลีกเลี่ยงการสูญเสีย และตนไม่เคยหนีความรับผิดชอบ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อธิบายให้นิสิตฟังว่าเหตุใดจึงเชิญอภิสิทธิ์มา โดยไชยันต์ตั้งคำถามกลับว่านับตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา ใครบ้างเป็นนายกฯ ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่อยู่ภายใต้ใคร เขามองว่าอดีตนายกฯ คนอื่น ๆ เช่น สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือนายกฯ ที่ไม่เป็นอิสระ เมื่อนิสิตถามว่าพวกเขาอยู่ใต้ใคร ทักษิณใช่หรือไม่ ไชยันต์ตอบว่า "ใช่ ทักษิณครับ" ไชยันต์ ยังกล่าวถึงประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ามาจากการเลือกของ สว. และเศรษฐา ทวีสิน ก็ไม่เป็นอิสระ จึงมองไม่เห็นใครที่เหมาะสม ก่อนอภิสิทธิ์ จะเข้าบรรยาย เขาทิ้งคำถามต่อนิสิตว่า "น้องเรียกร้องกับรัฐบาลที่ทำให้ กปปส. เสียชีวิตไหม น้องเรียกร้องกับรัฐบาลที่ทำให้พันธมิตรเสียชีวิตไหม" ซึ่งนิสิตตอบโต้ว่าเธอเลือกเรียกร้องให้คนเสื้อแดง แต่คนอื่นก็ยังสามารถเรียกร้องให้คนอื่นตามต้องการได้  อภิสิทธิ์ ถามต่อว่า "กรณีอื่นเป็นคำถามเยอะแยะ คนที่ตาย เพียงแต่ว่าเขาความเชื่อทางการเมืองไม่เหมือนน้องเนี่ย เขาไม่มีความหมายใช่ไหม" ทำให้นิสิตคนนั้นสวนกลับทันทีว่า ทุกชีวิตมีความหมาย เขาตอบกลับว่า "ถูกต้องครับ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะไปเรียกร้องบ้าง" นิสิตคนเดิมสวนกลับว่า เธอเรียกร้องในสิ่งที่เธออยากเรียกร้อง และหากใครอยากเรียกร้องอะไรก็เรียกร้องได้ "คุณให้คนที่ไปเป่านกหวีดกับคุณเรียกร้องเลย" นิสิตกล่าว อภิสิทธิ์ ทำท่ายกมือปฏิเสธ "ผมไม่ได้...ผมกับ กปปส. ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน" แล้วแยกตัวไปบรรยายเสวนา สำหรับกิจกรรม "Policy Talk by CU-DriPP" จัดโดยหลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เชิญวิทยากรพิเศษหลากหลายคนมาร่วมบรรยาย แลกเปลี่ยนความเห็นในหัวข้อที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ ให้กับนิสิต นิสิตเก่า อาจารย์ และบุคลากรในรั้วจุฬาฯ โดยงานนี้จะจัดทุกวันอาทิตย์ของเดือน พ.ย. 2568 ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. ณ ห้อง Smart Classroom ชั้น 7 อาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย * 2 พ.ย. หัวข้อ "นโยบายสาธารณะ: ทฤษฎีและการปฏิบัติ" โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ   * 9 พ.ย. หัวข้อ  "นโยบายเศรษฐกิจ : ทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศไทย" โดย ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน * 16 พ.ย. หัวข้อ "นโยบายเศรษฐกิจและการค้า" โดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ * 23 พ.ย. หัวข้อ "ทฤษฎีความยุติธรรมกับนโยบายสาธารณสุข" โดย นายแพทย์ ธนสาร พฤฒิสถาพร ก่อนหน้านี้เหตุการณ์ในวันนี้ เมื่อ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา สโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความตั้งคำถามกับคณะตัวเองว่า เหมาะสมหรือไม่กับการเชิญอภิสิทธิ์ มาบรรยายในหัวข้อ นโยบายสาธารณะทั้งที่ตัวเขาล้มเหลว และละเลย ต่อความรับผิดชอบสาธารณะ จากกรณีสลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553  "สำหรับคุณการบรรยายครั้งนี้เป็นพื้นที่ให้ความรู้? หรือพื้นที่ให้โอกาสกับบุคคลที่สังคมยังคงตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบต่อสาธารณะและสามัญสำนึกต่อประชาชน? และหากนึกไปถึงการมาบรรยายในขอบเขตนโยบายสาธารณะ วิทยากรท่านนี้มีความเชี่ยวชาญมากพอหรือไม่ อย่างไร?" โพสต์สโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์ ระบุ  * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ * สลายการชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 * จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย * ไชยันต์ ชัยพร

นิสิตจุฬาฯ ชูป้ายประท้วง 'อภิสิทธิ์' 'สั่งสลาย นปช.ปี'53'-อดีตนายกฯ นั่งแจงไม่เป็นตามที่ถูกกล่วหา

02.11.2025 14:27 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
เผยอัยการ จ.ยะลา ยื่นฟ้องประชาชน-นักข่าวภาคสนาม กรณีรายงานข่าววิสามัญฆาตกรรมที่ อ.ธารโต เผยอัยการ จ.ยะลา ยื่นฟ้องประชาชน-นักข่าวภาคสนาม กรณีรายงานข่าววิสามัญฆาตกรรมที่ อ.ธารโต auser15 Sun, 2025-11-02 - 18:39 สำนักสื่อ Wartani เผยเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 อัยการ จ.ยะลา ยื่นฟ้องประชาชนและนักข่าวภาคสนามรวม 7 คน กรณีรายงานข่าวเหตุวิสามัญฆาตกรรมใน อ.ธารโต - Wartani เห็นว่าการดำเนินคดีต่อผู้สื่อข่าวและประชาชนในคดีนี้ เป็นการกระทบต่อเสรีภาพสื่อและสิทธิในการรับรู้ของประชาชน เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเคารพเสรีภาพสื่อและยุติการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดกั้นการรายงานข่าว -  โดยศาล จ.ยะลา นัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 น. 2 พฤศจิกายน 2568 เพจ Wartani เผยแพร่ ใบแจ้งข่าวสำนักสื่อ Wartani เรื่อง "การดำเนินคดีต่อประชาชนและนักข่าวภาคสนามรวม 7 คน กรณีรายงานข่าวเหตุวิสามัญฆาตกรรมในอำเภอธารโต จังหวัดยะลา" ระบุว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 พนักงานอัยการจังหวัดยะลาได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 7 คน ต่อศาลจังหวัดยะลา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นายมูฮัมมัดฮาฟีซี สาและ ผู้สื่อข่าวภาคสนามของ Wartani ในข้อกล่าวหา “ร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน” จากเหตุการณ์ไลฟ์สดรายงานข่าวการวิสามัญฆาตกรรมในพื้นที่บ้านมายอ ตำบลแม่หวาด อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 โดยก่อนหน้านี้พนักงานอัยการได้เลื่อนนัดส่งฟ้องมาแล้วหลายครั้ง ศาลจังหวัดยะลาได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ939/2568 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดยะลา (โจทก์) กับ นายมูฮัมหมัดฮาฟีซี สาเเละ จำเลยกับพวกรวม 7คน สำนักสื่อ Wartani ซึ่งเป็นสื่อที่เป็นการนำเสนอข่าวในพื้นที่เพื่อสะท้อนความจริงและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ขอแสดงจุดยืนต่อกรณี ดังนี้ 1. Wartani ยืนยันว่าการรายงานข่าวเป็นการปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพสื่อมวลชน การถ่ายทอดสดในวันเกิดเหตุเป็นการรายงานข้อเท็จจริงจากพื้นที่จริง เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนในสังคมประชาธิปไตยการทำหน้าที่ดังกล่าวไม่มีเจตนาแทรกแซงหรือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐแต่อย่างใด 2. Wartani เห็นว่าการดำเนินคดีต่อผู้สื่อข่าวและประชาชนในคดีนี้ เป็นการกระทบต่อเสรีภาพสื่อและสิทธิในการรับรู้ของประชาชน พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้/ปาตานี เป็นพื้นที่ที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีข้อจำกัดสูง การทำงานของนักข่าวภาคสนามจึงมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนข้อเท็จจริงจากมุมมองของประชาชน การใช้กฎหมายในลักษณะนี้จึงอาจสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว และจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนที่ทำงานด้วยความสุจริต 3. Wartani ขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเคารพเสรีภาพสื่อและยุติการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดกั้นการรายงานข่าว สำนักสื่อ Wartani เห็นว่า การรายงานเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และประเทศไทยในฐานะภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ต้องรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการสื่อสารของประชาชน 4. Wartani จะยืนหยัดทำหน้าที่สื่อมวลชนเพื่อความจริงและสันติภาพ/สันติสุขในปาตานี เราจะยังคงรายงานทุกเหตุการณ์ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย เพราะเราเชื่อว่า “ความจริงคือหนทางสู่สันติภาพที่ยั่งยืน” Wartani ขอขอบคุณทุกเสียงสนับสนุนจากประชาชน เครือข่ายสื่อ และองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ร่วมจับตาการดำเนินคดีครั้งนี้ และจะยืนหยัดเคียงข้างผู้สื่อข่าวภาคสนามและประชาชนทั้ง 7 คนจนถึงที่สุด ในโอกาสนี้ขอเชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจร่วมเป็นสักขีพยานในการพิจารณาคดีนี้ร่วมกัน โดยศาลจังหวัดยะลานัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 น.   * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ความมั่นคง * Wartani * ยะลา * ธารโต * ชายแดนใต้ * กระบวนการยุติธรรม * เสรีภาพสื่อ * สื่อมวลชน

เผยอัยการ จ.ยะลา ยื่นฟ้องประชาชน-นักข่าวภาคสนาม กรณีรายงานข่าววิสามัญฆาตกรรมที่ อ.ธารโต

02.11.2025 11:45 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
หวั่น MoU แรร์เอิร์ธ เพิ่มความเสี่ยงไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง 'สงครามเทคโนโลยี จีน-สหรัฐฯ' หวั่น MoU แรร์เอิร์ธ เพิ่มความเสี่ยงไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง 'สงครามเทคโนโลยี จีน-สหรัฐฯ' auser15 Sun, 2025-11-02 - 16:19 นักเศรษฐศาสตร์มอง MoU แร่ธาตุหายากไทย-สหรัฐฯ เพิ่มความเสี่ยงของไทยในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีจีนสหรัฐฯ หวั่นกระทบสิ่งแวดล้อม ได้ประโยชน์น้อยหากไทยไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคต่อเนื่องมูลค่าสูง ขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ทำการลงทุนอุตสาหกรรมฐานนวัตกรรมชะลอ เสนอโมเดลพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตย 'ทุนมนุษย์' คือปัจจัยชี้ขาด 2 พฤศจิกายน 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า การที่รัฐบาลไทยไปทำบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาหรือทำ MoU แร่หายากจะเพิ่มความเสี่ยงของไทยในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา อาเซียนรวมทั้งไทยจะกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของมหาอำนาจ หากไทยเปิดรับการลงทุนด้านการสำรวจและผลิตแร่หายากตาม MoU จะทำให้ “ไทย” กลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐฯ ซึ่งจะแข่งขันโดยตรงกับจีนที่มีอำนาจผูกขาดอยู่ในโครงสร้างตลาดขณะนี้ จีนครองส่วนแบ่งตลาด 86% ของแปรรูปแร่หายาก นอกจากนี้ การที่ ไทย ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีในการสำรวจ สกัด คัดแยกและผลิต ก็จะเป็นเปิดช่องทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทางด้านนี้และสหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบงำอุตสาหกรรมแร่หายากและเศรษฐกิจไทย ความอ่อนแอในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะเปิดโอกาสให้มีการตักตวงส่วนเกินทางเศรษฐกิจโดยบรรษัทข้ามชาติผ่านระบบการค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้ โครงการลงทุนเหมืองแร่หายากจะเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุด ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจะไม่คุ้มกับความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน กากพิษจากกระบวนการผลิตจะถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินไทย ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขโดยแนวทางการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและเตรียมการสำหรับการรองรับการลงทุนให้ดีพอ   “ไทย” ในฐานะผู้ผลิตอันดับ 4 ของโลกจะกลายเป็น “หมาก” สำคัญในการเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ  เราไม่ควรเป็นเพียง “หมาก” และ ผลประโยชน์จากการลงทุนจะเกิดต่อสาธารณชนโดยรวม เราต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายที่เหมาะสม มีการเตรียมความพร้อมและมีแนวทางชัดเจนในการรองรับผลกระทบด้านลบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้ง การรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ วางตัวเป็นกลาง และ หลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสงครามทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีน ประเทศไทยจะได้ประโยชน์น้อยมากจากการเปิดให้มีการสำรวจและผลิตแร่หายากเพิ่มเติม หากไทยไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคต่อเนื่องมูลค่าสูง ไม่สามารถมีกระบวนการและกลไกในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเรียนรู้การสำรวจ การแปรรูป การผลิต ผลกระทบด้านบวกจากการทำ MoU นั้นประกอบไปด้วย ผลประโยชน์จากการลงทุนต่อเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมสำรวจ แปรรูปแร่ เพิ่มรายได้ภาครัฐ เกิดการพัฒนาต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้ง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่วนผลกระทบด้านลบ อาจเกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีหลายมิติ การทำเหมืองแร่อาจก่อให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่า พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตรกรรมอาจเปลี่ยนสภาพไป อาจเกิดมลพิษทางอากาศและทางน้ำ มีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตประชาชนได้ ระบบการกำกับดูแลและระบบกฎหมายของไทยยังมีช่องโหว่และอาจสร้างปัญหาความปลอดภัยของชีวิตและสิ่งแวดล้อมในวงกว้างได้  นอกจากนี้การกำกับดูแลการใช้เทคโนโลยี ต้องให้มีการใช้เทคโนโลยีสำรวจและผลิตที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ข้อน่ากังวลต่อ MoU นี้ คือ ไทยค่อนข้างเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิการสำรวจและการลงทุน เงื่อนไขการยกเลิก รวมทั้ง ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมและทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบัน ไทยยังไม่มีวิธีการจัดการกากกัมมนตภาพรังสีที่ชัดเจน หากกากแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำผิวดินต่างๆจะเกิดผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้ว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตแร่หายากอันดับ 4 ของโลกและมีมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยมีการนำเข้าหินจากเมียนมาและออสเตรเลีย แปรรูปแล้วส่งออก เป็นทางผ่าน ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยมากนัก อย่างไรก็ตาม การจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เราต้องมีการลงทุนทางด้านนวัตกรรมเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไทยขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ล่าสุด อุปสงค์ของแรงงานทักษะสูงเองชะลอตัวลงจากภาคการลงทุนชะลอตัวลง ภาคการลงทุนเติบโตช้าลงก็เป็นผลจากการที่เราขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ผลิตภาพโดยรวมจึงต่ำทำให้ขาดศักยภาพในการลงทุน ปัญหาจึงวนเวียนอยู่เช่นนี้ รัฐจึงควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมให้ชัดเจนและสร้างกลไกให้เกิดแรงจูงใจให้เอกชนไทยลงทุนพัฒนานวัตกรรม รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า การที่รัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลต่างชาติต้องผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและกลไกรัฐสภาก่อน ส่วนการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MoU เรื่อง “แร่หายาก” นั้น แม้นยังไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนก่อนการลงนาม การไปทำข้อตกลงใดๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ขอเสนอให้ใช้โมเดลพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตย เป็นโมเดลการพัฒนาที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เอา “คุณภาพชีวิต” ของประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา การพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตยจะช่วยสนองความจำเป็นของปัจจุบันโดยไม่ต้องเบียดบังความจำเป็นของอนุชนรุ่นหลัง ภาครัฐจะเปิดรับภาคประชาสังคมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย มีการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ตามหลักการประชาธิปไตย    * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * ต่างประเทศ * สิ่งแวดล้อม * MOU แร่ธาตุหายากไทย-สหรัฐฯ * แรร์เอิร์ธ * สหรัฐอเมริกา

หวั่น MoU แรร์เอิร์ธ เพิ่มความเสี่ยงไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง 'สงครามเทคโนโลยี จีน-สหรัฐฯ'

02.11.2025 09:21 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ทรัมป์ขู่ส่งทหารโจมตีไนจีเรีย กล่าวหาปล่อยให้ชาวคริสต์ถูกกระทำรุนแรง ทรัมป์ขู่ส่งทหารโจมตีไนจีเรีย กล่าวหาปล่อยให้ชาวคริสต์ถูกกระทำรุนแรง auser15 Sun, 2025-11-02 - 15:36 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศสั่งกระทรวงกลาโหมเตรียมพร้อมโจมตีทางทหารในไนจีเรีย กล่าวหาว่ารัฐบาลไนจีเรียไม่ทำอะไรจริงจังในการหยุดยั้งความรุนแรงต่อชาวคริสต์ พร้อมขู่หยุดความช่วยเหลือทั้งหมด แต่รัฐบาลไนจีเรียโต้แย้งว่าทั้งชาวคริสต์และชาวมุสลิมต่างเป็นเหยื่อจากกลุ่มหัวรุนแรง และต้องการความช่วยเหลือทางทหารเพื่อปราบปราม ไม่ใช่ถูกติดป้ายว่าละเมิดเสรีภาพทางศาสนา 2 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์ CNN รายงานว่า  ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐฯ ออกมาประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 พ.ย.) ว่า สั่งให้กระทรวงกลาโหมเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าโจมตีทางทหารในไนจีเรีย หลังจากที่เขากล่าวหาประเทศนี้ว่าไม่ทำอะไรจริงจังในการหยุดยั้งความรุนแรงต่อชาวคริสต์ ซึ่งรัฐบาลไนจีเรียได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้หลายครั้งแล้ว ทรัมป์โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เขาเรียกว่า "การสังหารหมู่" ชาวคริสต์ในไนจีเรีย พร้อมเขียนว่าสหรัฐฯ จะ "หยุดความช่วยเหลือทุกรูปแบบให้กับไนจีเรียทันที" และเตือนรัฐบาลไนจีเรียให้ "เคลื่อนไหวเร็วๆ" ในข้อความยาวๆ ของทรัมป์ เขาบอกว่าสหรัฐฯ "อาจจะเข้าไปในประเทศที่น่าอับอายนี้พร้อมกับอาวุธครบมือ เพื่อกวาดล้างผู้ก่อการร้ายอิสลามที่กำลังก่อเหตุโหดร้ายเหล่านี้ให้สิ้น" ความจริงแล้ว ทั้งชาวคริสต์และชาวมุสลิมในไนจีเรียต่างเป็นเหยื่อจากการโจมตีของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ประเทศนี้มีประชากรมากกว่า 230 ล้านคน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีสาเหตุหลากหลาย บางเหตุการณ์เกิดจากแรงจูงใจทางศาสนาและส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 กลุ่ม ในขณะที่บางเหตุเกิดจากข้อพิพาทระหว่างชาวนากับคนเลี้ยงสัตว์เรื่องทรัพยากรที่จำกัด รวมถึงความตึงเครียดระหว่างชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แม้ชาวคริสต์จะเป็นหนึ่งในเป้าหมายการโจมตี แต่รายงานท้องถิ่นระบุว่าเหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของไนจีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ ทรัมป์เขียนว่า "ผมสั่งกระทรวงสงครามของเราให้เตรียมพร้อมสำหรับการลงมือแล้ว ถ้าเราโจมตี มันจะเร็ว รุนแรง และสนุกสนาน เหมือนกับที่พวกผู้ก่อการร้ายโจมตีชาวคริสต์อันเป็นที่รักของเรา คำเตือน: รัฐบาลไนจีเรียควรเคลื่อนไหวให้เร็วเข้า" รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีท เฮกเซธ (Pete Hegseth) โพสต์ตอบกลับว่า "รับทราบครับท่านประธานาธิบดี" พร้อมแนบภาพหน้าจอข้อความของทรัมป์ และเขียนเพิ่มเติมว่า "การฆ่าชาวคริสต์ผู้บริสุทธิ์ในไนจีเรีย และที่ไหนก็ตาม ต้องหยุดทันที กระทรวงสงครามกำลังเตรียมพร้อมลงมือแล้ว ถ้ารัฐบาลไนจีเรียไม่ปกป้องชาวคริสต์ เราก็จะฆ่าผู้ก่อการร้ายอิสลามที่ก่อเหตุโหดร้ายเหล่านี้เอง" CNN รายงานว่าการประกาศของทรัมป์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขากล่าวหาไนจีเรียว่าละเมิดเสรีภาพทางศาสนาเมื่อวันศุกร์ โดยอ้างว่า "คริสต์ศาสนากำลังเผชิญภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ในไนจีเรีย" และประกาศให้ไนจีเรียเป็น "ประเทศที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ" ตามพระราชบัญญัติเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศ การติดป้ายนี้หมายความว่ารัฐบาลทรัมป์พบว่าไนจีเรียมีส่วนร่วมหรือยอมให้เกิด "การละเมิดเสรีภาพทางศาสนาอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และร้ายแรง" หลังจากถูกติดป้ายแต่ก่อนที่ทรัมป์จะพูดถึงเรื่องทหาร ประธานาธิบดีโบลา ตินูบู (Bola Tinubu) ของไนจีเรียได้โพสต์ข้อความว่า "การพรรณนาว่าไนจีเรียไม่ยอมรับความแตกต่างทางศาสนานั้นไม่สะท้อนความเป็นจริงของชาติเราเลย และไม่ได้คำนึงถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องและจริงใจของรัฐบาลในการปกป้องเสรีภาพทางศาสนาและความเชื่อของชาวไนจีเรียทุกคน" เขายังเสริมว่าไนจีเรีย "กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ และชุมชนระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการปกป้องชุมชนทุกศาสนา" เลขานุการสำนักข่าวของตินูบูออกมาตอบโต้โพสต์ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) ที่ประณามการ "สังหารหมู่ชาวคริสต์หลายพันคน" โดยเรียกการพรรณนานี้ว่า "เป็นการพูดเกินจริงอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ในไนจีเรีย" และเสริมว่า "ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม โบสถ์ และมัสยิดถูกโจมตีแบบสุ่ม" บาโย โอนานูกา (Bayo Onanuga) กล่าวว่า "สิ่งที่ประเทศเราต้องการจากอเมริกาคือการสนับสนุนทางทหารเพื่อต่อสู้กับกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้ในบางรัฐของประเทศเรา ไม่ใช่การติดป้ายว่าเป็นประเทศที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ" CNN ยังรายงานว่าโฆษกของทำเนียบขาวและสำนักงานของตินูบูยังไม่ตอบคำขอให้ให้สัมภาษณ์ * ข่าว * ต่างประเทศ * โดนัลด์ ทรัมป์ * สหรัฐอเมริกา * ไนจีเรีย * แอฟริกา

ทรัมป์ขู่ส่งทหารโจมตีไนจีเรีย กล่าวหาปล่อยให้ชาวคริสต์ถูกกระทำรุนแรง

02.11.2025 08:40 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ชาตินิยมกับสิทธิมนุษยชน: ศัตรูหรือพันธมิตร? | หมายเหตุประเพทไทย EP.599 [Live] ชาตินิยมกับสิทธิมนุษยชน: ศัตรูหรือพันธมิตร? | หมายเหตุประเพทไทย EP.599 [Live] user8 Sun, 2025-11-02 - 15:09 หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ประภาภูมิ เอี่ยมสม และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี ชวนผู้ชมตั้งคำถามต่อกรณีดรามาที่ลามไปเป็นการข่มขู่ “สว. อังคณา นีละไพจิตร” ท่ามกลางกระแสคลั่งชาติกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งสะท้อนความตึงเครียดระหว่างสองแนวคิดใหญ่ของโลกสมัยใหม่ “ชาตินิยม” ที่ยึดชาติและพรมแดนเป็นศูนย์กลาง กับ “สิทธิมนุษยชน” ที่ให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์และเสรีภาพปัจเจก การปะทะของสองชุดคุณค่านี้ไม่เพียงเป็นข้อถกเถียงทางการเมือง แต่ยังเผยให้เห็นคำถามพื้นฐานว่า ใครคือศัตรูของชาติ และใครคือพลเมืองของโลก และพาไปไกลกว่าความขัดแย้งแบบขั้วตรงข้าม ผ่านการวิเคราะห์แนวคิดจาก Hannah Arendt และ Martha Nussbaum ที่ชวนมองความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติและสิทธิมนุษยชนในมิติที่ลึกขึ้น ว่าสิทธิมนุษยชนอาจไม่เกิดขึ้นได้ หากปราศจากสิทธิที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการเมือง และความรักชาติอาจอยู่ร่วมกับความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนสากลได้ หากเรานิยามขอบฟ้า “ความเป็นชาติ” ให้เปิดกว้างกว่าเดิม พบกับการสนทนาที่ท้าทายสองกรอบคิดระหว่างชาตินิยมสุดโต่งกับพลเมืองโลกไร้รัฐใน #หมายเหตุประเพทไทย #Nationalism #HumanRights   * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * หมายเหตุประเพทไทย * มัลติมีเดีย * กัน จอมพลัง * อังคณา นีละไพจิตร * ชายแดนไทย-กัมพูชา * ชาตินิยม

ชาตินิยมกับสิทธิมนุษยชน: ศัตรูหรือพันธมิตร? | หมายเหตุประเพทไทย EP.599 [Live]

02.11.2025 08:13 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
แนะตั้ง 'สภาพระเครื่อง' ควบคุมตลาด-ป้องกันอาชญากรรมและการฟอกเงิน แนะตั้ง 'สภาพระเครื่อง' ควบคุมตลาด-ป้องกันอาชญากรรมและการฟอกเงิน auser15 Sun, 2025-11-02 - 15:06 แนะกระทรวงวัฒนธรรมตั้ง 'สภาพระเครื่อง' กำหนดมาตรฐาน กำกับตลาดพระเครื่องหมื่นล้าน ป้องกันการหลอกลวงและปัญหาการฟอกเงิน พร้อมยกระดับพัฒนาเป็น Soft Power สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ 2 พฤศจิกายน 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า นางสาววิธาวีร์ ประทุมสวัสดิ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากปัญหาเรื่องพระเครื่องแท้หรือพระเครื่องปลอม ซึ่งมีประเด็นความคิดเห็นที่หลากหลาย ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล อาทิ กรณีการถกเถียงเกี่ยวกับเหรียญทองคําของหลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ซึ่งมีประเด็นการถกเถียง เรื่อง ที่มา เทคนิคการพิมพ์เหรียญ และวัสดุที่ใช้ในการพิมพ์เหรียญ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญและนักสะสมพระ (เซียนพระ) ทั่วประเทศ ได้มีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวอย่างหลากหลาย อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพระเครื่องไม่ใช่วัตถุมงคลเพื่อความเป็นสิริมงคลเท่านั้น แต่พระเครื่องยังเป็นวัตถุมงคล ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการประเมินมูลค่า มีการซื้อขาย และมีการเก็บสะสมไว้เป็นทรัพย์สิน จนเกิดเป็นมูลค่าหมุนเวียน ในตลาดหลายหมื่นล้านบาทและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง (Soft Power) ของประเทศไทยที่ประเทศอื่นไม่มี ดังนั้น เมื่อพระเครื่องซึ่งอยู่คู่กับศรัทธาของสังคมไทยมาเป็นระยะเวลานานได้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่า พระเครื่องบางรุ่นมีมูลค่าสูงหลายสิบล้านบาท เมื่อผู้เชี่ยวชาญและนักสะสม (เซียนพระ) ได้กลายมาเป็นผู้กำหนดราคาพระเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันมีพระเครื่องรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีผู้ขายพระเครื่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นกัน แต่ยังไม่มีกฎหมายหรือกฎระเบียบเข้ามากำกับดูแลธุรกิจเช่าพระเครื่องหรือที่เรียกว่าพุทธพาณิชย์ รวมทั้งยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานของพระเครื่องอย่างชัดเจน และไม่มีการควบคุมการประเมินราคาพระเครื่อง การซื้อ - ขายพระเครื่องในฐานะที่เป็นทรัพย์สินหรือของสะสม ซึ่งในอนาคตอาจนำมาซึ่งปัญหาการหลอกลวง ปัญหาการฟอกเงินและปัญหาอาชญากรรมตามมา ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงวัฒนธรรม เข้ามากำกับดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยอาจมีการตั้งสภาพระเครื่อง เพื่อที่จะได้ขึ้นทะเบียนหรือกำหนดมาตรฐานของพระเครื่องให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และส่งเสริมพระเครื่องได้พัฒนาเป็น Soft Power สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศต่อไป * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * วัฒนธรรม * คุณภาพชีวิต * พระเครื่อง * ฟอกเงิน * soft power * พุทธพาณิชย์ * ศาสนาพุทธ

แนะตั้ง 'สภาพระเครื่อง' ควบคุมตลาด-ป้องกันอาชญากรรมและการฟอกเงิน

02.11.2025 08:09 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0

@prachataifeeds is following 1 prominent accounts