ประชาไท Prachatai.com's Avatar

ประชาไท Prachatai.com

@prachatai.com.bsky.social

707 Followers  |  0 Following  |  3,110 Posts  |  Joined: 08.02.2024  |  1.6832

Latest posts by prachatai.com on Bluesky

Preview
'อนุทิน' ระบุ 'ทรัมป์' ฝาก 'อันวาร์' มาบอก จะไม่นำเรื่องระงับปฏิญญามาเกี่ยวเจรจาภาษี 'อนุทิน' ระบุ 'ทรัมป์' ฝาก 'อันวาร์' มาบอก จะไม่นำเรื่องระงับปฏิญญามาเกี่ยวเจรจาภาษี auser15 Sun, 2025-11-16 - 07:55 'อนุทิน' ระบุ 'ทรัมป์' ฝาก 'อันวาร์' มาบอก จะไม่นำเรื่องระงับปฏิญญาไทย-กัมพูชา มาเกี่ยวเจรจาภาษีสหรัฐฯ ระบุจดหมายจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่ระบุเรื่องการหยุดเจรจากับไทย ถูกพิมพ์ขึ้นก่อนจะได้คุยโทรศัพท์กับทรัมป์เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 14 พ.ย. เมื่อเวลา 01.44 น. ของวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โพสต์โซเชียลมีเดียระบุว่า  "นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซียซึ่งเป็นประธานของ ASEAN ด้วย ได้โทรศัพท์มาหาผมอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (15 พ.ย.) ในเนื้อหาของการสนทนา ท่านได้แจ้งยืนยันกับผมว่า ท่านได้หารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกับผมแล้วก่อนหน้านี้ ท่านประธานาธิบดีทรั้มป์มีความเห็นตรงกันกับจุดยืนของผมว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม หรือ Humanitarian demining เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งในปฏิญญาที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกัน ท่านจึงได้ขอให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุดเพราะมีความเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตคนของทั้งสองประเทศ และประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยืนยันฝากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ให้มาแจ้งผมอีกครั้งว่า “สหรัฐอเมริกาจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทยอันเนื่องมาจากการละเมิดเงื่อนไขของกัมพูชามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้” ผมยังได้ถามท่านนายกอันวาร์ว่า ผมสามารถโพสต์ข้อความนี้ได้หรือไม่ ท่านตอบว่า โพสต์เลยอนุทิน แล้วท่านก็จะโพสต์ยืนยันจากช่องทางการสื่อสารของท่านเช่นกัน จึงขอกราบเรียนมายังพี่น้องประชาชนที่มีความห่วงใยต่อเรื่องนี้เพื่อให้รับทราบโดยทั่วกันนะครับ อนึ่งจดหมายจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่ระบุเรื่องการหยุดเจรจากับไทยได้ถูกพิมพ์ขึ้นก่อนที่ผมจะได้คุยโทรศัพท์กับท่านประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายนครับ ดังนั้นข้อมูลของผมจึงมีความเป็นปัจจุบันมากกว่าครับ" * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * สหรัฐอเมริกา * ภาษีตอบโต้การค้า * Reciprocal Tariff * อนุทิน ชาญวีรกูล
16.11.2025 01:00 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
นักปรัชญาชายขอบ: ความฝันของอานนท์และความเป็นคนของเรา นักปรัชญาชายขอบ: ความฝันของอานนท์และความเป็นคนของเรา นักปรัชญาชายขอบ   sarayut Sat, 2025-11-15 - 21:34 ที่มาภาพ https://prachatai.com/journal/2024/07/110064 จากที่ผมไปนั่งฟังการไต่สวนพยานคดี 112 ของอานนท์ นำภา ครั้งล่าสุด เมื่อปลายสัปดาห์นี้ (และครั้งอื่นๆ ก่อนหน้านั้น) ภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนว่ากระบวนการไต่สวนของศาลให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ คำปราศรัย พยาน หลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคดี และ “แฟร์” กับทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย โดยให้สิทธิเท่าเทียมในการแสดงพยานหลักฐานได้เต็มที่ แต่เมื่อไปฟัง “คำพิพากษา” ของศาลในคดี 112 ของอานนท์ที่ผ่านมาทุกคดี เหมือนว่าข้อเท็จจริง พยาน หลักฐาน และหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักเสรีภาพในการพูดที่จำเลยและพยานจำเลยนำมาอ้างเพื่อสนับสนุนว่า “การวิจารณ์ตรวจสอบประมุขของรัฐโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ ย่อมทำได้เป็นเรื่องปกติ” กลับไม่มีน้ำหนักในคำวินิจฉัยของศาล ส่วนความเห็นของพยานโจทก์ที่สนับสนุนว่าคำพูด, คำปราศรัย, หรือข้อความบางข้อความที่จำเลยโพสต์ “เข้าข่าย” ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มักจะมีน้ำหนักให้ศาลรับฟังได้มากกว่า แม้ว่าความเห็นเช่นนั้นจะเป็นความเห็นที่เพ่งเล็งความหมายของบางคำพูด บางข้อความว่า “ผิด” โดยจงใจตัด “บริบท” แวดล้อมในการพูด หรือการใช้ข้อความเช่นนั้นของจำเลยออกไป ทั้งๆ ที่บริบทของการใช้คำพูดหรือข้อความเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า “ความหมายที่แท้จริง” ของคำพูดหรือข้อความเช่นนั้นคืออะไร เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะอย่างไร และจำเลยมี “เจตนารมณ์” ในการพูดเพื่อให้สังคมเห็นความสำคัญของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มีความเป็นอารยะมากขึ้น อย่างสอดคล้องกับความก้าวหน้าของประชาธิปไตยอย่างไร นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของกระบวนการไต่สวน ยังมีปัญหาสำคัญว่าเป็นกระบวนการที่ “แฟร์” แก่ฝ่ายจำเลยหรือไม่ เช่น ทำไมศาลจึงยกคำร้องขอประกันตัวอานนท์นับครั้งไม่ถ้วน ทำไมเมื่อใน “บางกรณีสำคัญ” ที่จำเลยและทนายจำเลยร้องขอพยานเอกสารและพยานบุคคลที่มีความจำเป็นในการไขข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์ เพื่อนำมาใช้สนับสนุนว่าจำเลยไม่ได้ “กล่าวเท็จ” ตามข้อกล่าวหาของฝ่ายโจทก์ แต่ศาลก็ไม่อนุญาตให้เบิกพยานเช่นนั้นตามการร้องขอของจำเลย อีกทั้งบางครั้งศาลก็สั่งให้ “พิจารณาลับ” จนจำเลยต้องประท้วงหลายครั้งตามที่เป็นข่าว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อให้ตนเองได้รับความยุติธรรม ผมได้เห็นความมุ่งมั่นยืนหยัดต่อสู้ของอานนท์อย่างสุดความสามารถ แม้จะยังมองไม่เป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าจะชนะคดี แต่ความมุ่งมั่นและสมาธิในการต่อสู้ของเขาน่าจะมาจาก “ความเชื่อมั่นและศรัทธา” ในอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เขาย้ำอยู่เสมอ ดังที่เขาเขียนจดหมายถึงลูกในวันเกิดครบรอบ 3 ขวบ ตอนหนึ่งว่า “พ่อเฝ้าดูเจ้าขาลและพี่ปราณค่อยๆ เจริญเติบโตตามวัยทีละช่วงจากในนี้ เฝ้าภาวนาให้ความโหดร้าย ป่าเถื่อนของสังคมนี้จางหายไปเสียที เฝ้ารอวันที่คนในสังคมนี้จะมีวุฒิภาวะ การเฝ้ารอของพ่อเต็มไปด้วยความหวังเช่นนั้น ความหวังและความฝันที่ระคนกันไปกับความห่วงหาอาดูรลูกๆ และคิดถึงเพื่อนมิตรทุกคน...สิ่งที่พ่อทำได้ตอนนี้ คือการยืนหยัดให้มั่นคงในจุดยืน ในความคิด ความฝัน นี่อาจเป็นของขวัญเดียวในวันเกิดของลูกที่พ่อทำได้ในปีนี้ (และปีต่อๆไป) (ดู https://www.facebook.com/photo/?fbid=32456641270617192&set=a.163415147033223) ผมคิดว่าการสื่อสารของอานนท์ในการปราศรัย การให้สัมภาษณ์ การเขียนจดหมายถึงลูกนั้น “จริง” ตรงไปตรงมา เป็นธรรมชาติ ไม่มีการปั้นแต่งให้ดูหล่อ มันคือการเปลือยความเป็นมนุษย์ให้เราเห็นอย่างซื่อๆ เขาเปิดเผยภาพความรักความผูกพันกับลูกในเฟซบุ๊ค อุ้มลูกไปม็อบ อุ้มลูกในศาล ราวกับว่าชีวิตครอบครัวกับชีวิตการต่อสู้ทางการเมืองกลมกลืนไปด้วยกันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความปกติที่เขาปั้นแต่งขึ้น แต่เพราะสังคมการเมืองอยู่ในภาวะผิดปกติ จึงทำให้การต่อสู้เป็นวิถีชีวิตปกติที่กลมกลืนไปด้วยกันทั้งในชีวิตครอบครัวและชีวิตสาธารณะทางสังคมการเมือง น้อยมากที่คนเราจะทำได้เช่นนั้น เพราะเราต่างมี “ข้อจำกัด” เช่นความห่วงลูก ครอบครัว การงาน สถานะทางสังคม ชื่อเสียง ความสุขสบาย อิสรภาพ และอื่นๆ ที่ทำให้เรา “กลัว” หรือไม่อยากเจ็บตัวจากการต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ในข้อจำกัดมากมายที่เรามี การมี “ลูกแรกเกิด” หรือลูกที่ยังเล็ก นับเป็นข้อจำกัดใหญ่สุดที่ทำให้เรากลัว กังวล ห่วงหน้าพะวงหลังมากที่สุด แต่อานนท์กลับทำให้ความรักลูกและครอบครัวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่วมทางไปด้วยกัน และหลอมรวมความหวังจะเห็นความเติบโตงดงามของลูกๆ กับความหวังจะเห็นสังคมมีวุฒิภาวะ มีเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เราเห็นได้ชัด แต่ไม่ใช่เราเห็นเพื่อจะ “อวย” และอานนท์ก็ย่อมไม่ต้องการให้เราอวย เขาบาลานซ์ชีวิตและความฝันส่วนตัวกับชีวิตการต่อสู้และความฝันเพื่อส่วนรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเป็นพลังหล่อเลี้ยงการยืนหยัดต่อสู้ของตนเอง คำถามคือ เราได้เห็นแล้วสะท้อนคิดอย่างไร ความฝัน ความหวังแบบอานนท์ที่อยากเห็นลูกๆ เติบโตอย่างงดงาม อยากเห็นสังคมมีวุฒิภาวะ มีเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความยุติธรรม ไม่ใช่ความฝัน ความหวังเดียวกันของเราทุกคนหรอกหรือ ในความเป็นมนุษย์ยุคนี้เราทุกคนต่างมีความฝัน ความหวังกันแบบนี้ไม่ใช่หรือ จะมีใครสักกี่คนเล่าที่กล้ายืนยันว่าตนเองมีความฝัน ความหวังอยากเห็นลูกๆ เติบโตอย่างอัปลักษณ์ ในสังคมที่ไร้วุฒิภาวะภายใต้อำนาจเผด็จการโบราณล้าหลัง ไร้เสรีภาพในการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตสาธารณะทางสังคมการเมือง ใครบ้างในยุคนี้ที่โดยใจจริงแล้วไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย และความยุติธรรมตามที่ควรจะเป็น ในอีกด้านหนึ่ง เราต่างก็มี “ข้อจำกัด” เช่น ความจำเป็นต้องอยู่รอดของครอบครัวที่มีภาระต่างๆ มากมาย ความวิตกกังวล ความกลัว และความต้องการอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องชีวิตและคุณค่าสาธารณะทางสังคมการเมือง อันเป็นอีกด้านของความเป็นมนุษย์ของเราทุกคนเช่นกัน แต่ปัญหาคือเรา “ดีล” กับข้อจำกัดต่างๆ เหล่านั้นอย่างไร และดีลกับความหวัง ความฝันที่อยากเห็นชีวิตและสังคมดีขึ้นอย่างไร ผู้พิพากษาที่นั่งบนบัลลังก์ ก็ย่อมมีความเป็นมนุษย์เหมือนอานนท์ และผู้พิพากษาย่อมรู้ดีที่สุดว่าอานนท์กำลังใช้ความกล้าหาญทางศีลธรรมของตนเองยืนยันเสรีภาพในการพูด เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตย และมีความยุติธรรมมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับประชาชนทุกฝ่ายที่มีความคิดเห็นต่างกัน แต่ผู้พิพากษาดีลกับความกลัวและความกล้าของตัวเองอย่างไร จะยอมปล่อยให้ความกลัวต่ออำนาจบางอย่างอยู่เหนือความกล้าหาญในการวินิจฉัยตัดสินคดีอย่างยุติธรรมบนพื้นฐานของหลักนิติรัฐที่ยึดโยงกับหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยหรือไม่ เมื่อผมโพสต์ในเฟซบุ๊คว่า “การใช้เสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ของอานนท์ ด้วยเจตนารมณ์อยากเห็นสังคมมีเสรีภาพ เป็นประชาธิปไตยและมีความยุติธรรมมากขึ้น ไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆ เลยที่เขาควรถูกศาลตัดสินจำคุกร่วม 30 ปี” มีบางคนเข้ามาคอมเมนต์ว่า “รู้สึกเสียใจที่ศาลตัดสินจำคุกอานนท์เพียง 30 ปี จะน่ายินดีมากกว่าหากราชอาณาจักรไทยจะลงโทษจำคุกเขาตลอดชีวิต” ไม่ว่าคนที่คอมเมนต์แบบนี้ หรือพวกที่หัวเราะเย้ยหยันการต่อสู้ของคนแบบอานนท์จะเป็น IO หรือเป็นใครก็ตาม เขาก็ย่อมมี “ความเป็นมนุษย์” เช่นกัน ความเห็นที่เขาแสดงออก ก็คือผลของการดีลกับความเป็นมนุษย์ของตนเองแล้ว และผลการดีลของเขา ก็คือการไม่เคารพความเป็นมนุษย์ผู้มีเหตุผล เสรีภาพ และศักดิ์ศรีในตัวเองของตนและคนอื่น โดยเขายอมทำตามความเป็นมนุษย์ในด้านที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกโกรธหรือเกลียดชังคนที่คิดต่างจากตนเอง ในอีกด้านหนึ่ง เราก็เข้าใจได้ว่าทำไมนักการเมือง พรรคการเมืองตอนเป็นฝ่ายค้านถึงแสดงความเห็นปกป้องสิทธิของนักกิจกรรมทางการเมืองที่โดนคดี 112 เช่น ออกมาเรียกร้องสิทธิประกันตัว เป็นต้น แต่พอเป็นรัฐบาลแล้ว (หรือเป็นฝ่ายค้านก็ตาม) จึงไม่ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ในการนิรโทษกรรม 112 นั่นก็เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของ “ความเป็นมนุษย์” ที่มีความกลัว ความกังวล หรือห่วงความมั่นคงของสถานะ อำนาจ เงินเดือน สวัสดิการ และค่าตอบแทนอื่นๆ ที่ตนได้รับในตำแหน่ง ส.ส. และตำแหน่งอื่นๆ ก็เลยจำเป็นต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน เรื่องการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและอิสรภาพของนักโทษ 112 เอาไว้ทีหลัง นี่ก็คือผลของการดีลกับความเป็นมษย์ของตนเองว่าจะยอม “เสี่ยง” หรือไม่ หรือจะยอมเสี่ยงได้แค่ไหนในสถานการณ์ความเป็นจริงทางการเมืองที่อยู่ใต้อำนาจรัฐพันลึก คำตอบแบบฮาวทูว่าจะทำอย่างไรตามกระบวนการรัฐสภา 1, 2, 3...แล้วจึงจะนิรโทษกรรมได้สำเร็จ และแก้โครงสร้างให้เป็นประชาธิไตยได้สำเร็จ มันเป็นคำตอบที่ฝ่ายต้องการนิรโทษกรรม 112 และต้องการแก้โครงสร้างมีกันอยู่แล้ว แต่ป็นคำตอบฮาวทูที่ไม่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติจริงได้ เพราะในรัฐพันลึกมีแต่คำตอบฮาวทูของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเท่านั้นที่ถูกใช้ปฏิบัติได้จริงในรูปแบบการทำรัฐประหาร การเขียนรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ การตั้งองค์กรอิสระรักษาอำนาจ การนิรโทษกรรมให้ฝ่ายตัวเอง และ ฯลฯ ดังนั้น การต่อสู้ทางการเมืองจึงมีประเด็นปัญหาพื้นฐานมากกว่าคำตอบแบบฮาวทู นั่นคือประเด็น “ความเป็นมนุษย์” ของเรา และเราดีลกับความเป็นมนุษย์ของตนเองและของกันและกันอย่างไร ทำไมคนแบบอานนท์ เมื่อดีลกับความเป็นมนุษย์ของตนเองแล้วจึงกลายเป็นความฝัน ความหวังที่อยากเห็นชีวิตของลูกๆ เติบโตงดงามในสังคมที่มีวุฒิภาวะ มีเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความยุติธรรมมากขึ้น และความฝัน ความหวังเช่นนั้นกลายเป็นพลังหล่อเลี้ยงการต่อสู้ของตนเอง ขณะที่คนอีกประเภทหนึ่งเมื่อดีลกับความเป็นมนุษย์ของตนเองแล้วกลับแสดงออกเป็นความเกลียดชัง เย้ยหยัน และสะใจที่เห็นคนแบบอานนท์ติดคุก การเมืองในสภา ก็ไม่ใช่เรื่องของระบบโครงสร้าง หรือกฎหมาย “อย่างเพียวๆ” เพราะมี “คน” ที่เป็นนักการเมืองทำหน้าที่ต่อสู้ขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นมนุษย์ของประชาชนด้วย และเขาเหล่านั้นก็มีความเป็นมนุษย์และดีลกับความเป็นมนุษย์ของตนเองตลอดเวลาด้วยว่าตนเองจะยินยอมรับใช้อำนาจรัฐพันลึก หรือกล้าหาญต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของนักโทษ 112 แค่ไหน อย่างไร ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ผมเน้น “ตัวบุคคล” หรือคาดหวังจะเห็น “คนดี” มาแก้ปัญหาอะไรแบบนั้น แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่าระบบอำนาจนิยมของรัฐพันลึก หรือระบบที่มีเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความยุติธรรมตามหลักนิติรัฐที่เราวาดหวัง ก็ล้วนแต่สะท้อนออกมาจากความเป็นมนุษย์ของเรา มันไม่ใช่แค่ตัวระบบกำหนดให้เรามีความเป็นมนุษย์แบบใดแบบหนึ่ง แต่เพราะเรามีความเป็นมนุษย์แบบใดแบบหนึ่ง หรือสมาทานคุณค่าความเป็นมนุษย์ในความหมายใดเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว จึงสะท้อนเป็นตัวระบบโครงสร้างที่มีหน้าตาแบบนั้นๆ ออกมา เมื่อผมนั่งมองอานนท์ยืนหยัดต่อสู้ในศาล เขาไม่มีอาวุธชนิดใดที่ใช้ได้เลย ไม่ว่าบทบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ หลักเสรีภาพในการพูด สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย พยาน หลักฐานต่างๆ ที่หยิบมาใช้ ล้วนแต่ถูก “อาวุธอำนาจนิยม” ของรัฐพันลึกทำลายหมด สิ่งเดียวที่ทำให้คนแบบอานนท์ยืนหยัดต่อสู้อยู่ได้ คือความเชื่อมั่นและศรัทธาใน “ความเป็นมนุษย์” ผู้มีเหตุผลเป็นของตนเอง มีเสรีภาพ และศักดิ์ศรีในตัวเอง และมีความฝันอยากเห็นชีวิตลูกๆ เติบโตงดงามในสังคมที่มีวุฒิภาวะ เสรีภาพ ประชาธิปไตย และมีความยุติธรรมตามที่ควรจะเป็น ความเป็นมนุษย์ในความหมายแบบที่อานนท์ยืนหยัดนั่นเอง คือรากฐานของการออกแบบระบบโครงสร้างสังคมการเมืองที่น่าอยู่มากขึ้น และความเป็นมนุษย์เช่นนั้นก็มีอยู่ในเราทุกคน จึงเป็นเรื่องตลกร้ายที่ยังมีคนในประเทศนี้เย้ยหยันการต่อสู้ของอานนท์ และยังมีพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนปฏิเสธการนิรโทษกรรม 112 เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้างระบบสังคมการเมืองที่เคารพความเป็นมนุษย์ของเราทุกคนให้เป็นจริง!      * บทความ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * นักปรัชญาชายขอบ * ม.112 * อานนท์ นำภา * นักโทษการเมือง
15.11.2025 14:39 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
พระปลอมอินเดีย: ตัวชี้วัดเสรีภาพทางศาสนา พระปลอมอินเดีย: ตัวชี้วัดเสรีภาพทางศาสนา เจษฎา บัวบาล   sarayut Sat, 2025-11-15 - 21:22 เกริ่นนำ หลายที่ในอินเดียเราจะพบนักบวชอยู่ข้างถนน บ้างก็กินนอนตากผ้าแถวนั้นเลย บ้างแต่งตัวเป็นโยคี/บาบา ในชุดสีส้ม สีขาว หรือสีอื่นๆ แต่ก็พอดูออกว่าพวกเขาเป็นนักบวชตรงที่ออกจากเรือนมาเป็นผู้ไม่มีเรือน นักบวชเร่ร่อนเหล่านี้เลี้ยงชีพด้วยการขออาหาร/เงินจากชาวบ้าน พวกเขาไม่ถูกตำรวจจับหรือขอดูใบรับรองการบวช เพราะการใช้ชีวิตแบบนักบวชเป็นเสรีภาพทางศาสนาที่รัฐธรรมนูญอินเดียรับรอง บทความนี้เสนอว่า เมื่อรัฐให้เสรีภาพแก่ความเชื่อและผู้คนไม่มีวิธีคิดเรื่อง “พระปลอม” ชีวิตพระเร่ร่อนจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องจัดการให้หมดไปหรือปกป้องศาสนาให้บริสุทธิ์ ไม่มีพระปลอม เพราะเราไม่มีทางรู้ชีวิตทุกด้านของคนอื่น คำว่า “พระปลอม” ที่ใช้ในบทความนี้หมายถึง พระที่ไม่มีหนังสือรับรอง ขณะที่ “พระจริง” ก็คือคนที่มีหนังสือรับรอง พระปลอมมักเป็นพระที่บวชเอง ไม่สังกัดกับองค์กรศาสนาใหญ่ๆ ในทางตรงกันข้าม พระจริงมักจะเป็นสมาชิกขององค์กรศาสนาซึ่งตั้งมั่นและมีสาวกมั่นคง ในไทยอาจไม่คุ้นเคยกับพระปลอมในแบบแรก เพราะเราจะถูกบีบให้ต้องมีสังกัดและคนที่ทำตัวแปลกๆ จะถูกกล่าวหาว่าบ้า หากแต่งกายเหมือนพระก็จะถูกตำรวจจับ แต่ในอินดเดียพฤติกรรมนี้เป็นเสรีภาพ ที่ใครจะออกบวชตอนไหนก็ได้ ที่กล่าวว่าไม่มีพระปลอม เพราะพระที่บวชเอง ไม่สังกัดองค์กรใด หลายคนก็มีเป้าหมายเพื่อละกิเลส อยู่อย่างสันโดษ ธรรมเนียมของฮินดูจะมี “วนปรัส” และ “สันยาสี” ที่ผู้สูงอายุควรสละชีวิตครอบครัวแล้วออกบวชเพื่อบำเพ็ญตบะและสั่งสอนผู้คน หลายคนปฏิบัติตนเคร่งมาก ขณะเดียวกัน พระจริงที่บวชกับองค์กรศาสนาแล้วมีหนังสือรับรอง ก็มักจะอยู่แต่ในศาสนสถาน ให้บริการผู้ศรัทธา ซึ่งเอาเข้าจริงชีวิตแบบนี้สบายกว่าพระในแบบแรกมาก (อาจนึกถึงพระในประเทศไทย) ฉะนั้น หนังสือรับรองจึงไม่ใช่ตัวชี้วัดความเป็นพระจริงหรือพระปลอม อย่างไรก็ตาม วิถีพระเร่ร่อน เดินขอขอหาร นอนข้างทาง บ้างก็รับเงินด้วย เป็นวิถีที่มีในอินเดียมานาน อาจเรียกว่า สมณะ หรือ อนาคาริกะ (homeless) ปัจจุบันชาวบ้านจะเรียกนักบวชทุกศาสนาด้วยคำว่า คุรุจี (Guruji) การที่พระหรือนักบวชต้องมีสังกัด อยู่วัดอย่างเป็นทางการต่างหากที่เป็นของใหม่ เพราะนั่นหมายถึงศาสนานั้นๆ เติบโตจนตั้งเป็นองค์กรแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม วิถีไร้บ้านของนักบวชที่เร่ร่อนนี้สำหรับนักบวชหลายคนแล้วกลับเป็นวิถีที่เอื้อต่อการฝึกฝน เพราะต้องสู้กับความไม่แน่นอนของชีวิต ทั้งอาหาร น้ำดื่ม ยุงกัด ฯลฯ ขณะที่การอยู่ในวัดจะมีความมั่นคงกว่าเพราะมีที่พัก อาหาร มีสาวกที่ศรัทธามาถวายของ/พบปะอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าก็ใช้อาชีพ “ขอทาน” ในการดำรงชีวิต และใช้คำนี้มาสอนพระว่า ในบรรดาอาชีพทั้งหมด อาชีพที่ต่ำที่สุดคือ ขอทาน คำสาปแช่งที่รุนแรงในโลกนี้คือ “ขอให้แกถือกระเบื้องในมือเที่ยวขอทานเถอะ” แล้วโยงมาเตือนพระว่า ไม่ใช่ออกบวชเพราะหนีคดี เพราะหนีหนี้ หรือไม่มีอาชีพ หรือแม้บางคนจะบวชเพราะเห็นภัยในวัฏสงสารแล้ว แต่เมื่อบวชมาก็ขี้เกียจ ไม่สำรวม ไม่มีสติ ก็ถือว่าไร้ประโยชน์ (อนาคามี, 2568) ตีความได้ว่า พระพุทธเจ้าเตือนให้เห็นถึงการเลี้ยงชีพแบบพระว่าอยู่ในสถานะต่ำเหมือนขอทาน แต่จะประเสริฐขึ้นหากใช้สถานะนั้นทำความเพียรเพื่อละกิเลส นักบวชเร่ร่อน ใช้ชีวิตบริเวณมหาวิทยาลัยเดลีช่วงเดือนตุลาคม 2568 กฎหมายที่ให้เสรีภาพทางศาสนาในอินเดีย รัฐธรรมนูญอินเดียรับรองเสรีภาพทางศาสนาไว้ในมาตราที่ 25 – 28 ในมาตรา 25 กล่าวถึงเสรีภาพแห่งมโนธรรมสำนึก (Freedom of Conscience) ที่เชื่อว่าคนย่อมมีความสามาถที่จะคิดได้ว่าจะเชื่อหรือปฏิบัติตามแนวทางที่ตนชอบ แน่นอนว่าจะต้องไม่ไปละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น มาตรา 25 รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของเสรีภาพแห่งมโนธรรมสำนึก ที่จะแสดงออก ปฏิบัติ ประกอบพิธีกรรมและเผยแผ่ศาสนาของตนอย่างเป็นอิสระ/เปิดเผย มาตรา 26 รับรองสิทธิในการบริหารจัดการองค์กรศาสนาทุกองค์กร ซึ่งรวมถึงการสิทธิในการก่อตั้งและดำเนินการขององค์กรนั้นๆ ทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่ศาสนาและเพื่อกิจกรรมสังคมสงเคราะห์ มาตรา 27 ห้ามใช้เงินภาษีซึ่งเป็นของประชาชนมาสนับสนุนการเผยแผ่ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ซึ่งถือเป็นหลักการรัฐโลกวิสัยของอินเดีย มาตรา 28 ห้ามโรงเรียน/สถาบันการศึกษาของรัฐที่ใช้งบประมาณภาครัฐโดยตรง จัดการเรียนการสอนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นวิชาบังคับ (Indian Constitution, 2024, pp.14-15) ส่วนคดีอาญา มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาดังนี้ มาตรา 419 มีการเอาผิดฐานหลอกลวงโดยการแต่งกายหรือแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น (cheating by personation) หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ (Indian Penal Code 419) มาตรา 420 ความผิดฐานฉ้อโกงเพื่อให้ได้ทรัพย์มาโดยไม่สุจริต ซึ่งโทษนี้รวมถึงการอ้างตนเป็นนักบวชที่มีชื่อเสียงและรับเงินบริจาคด้วย (cheating and dishonestly inducing delivery of property) โดยมีโทษจำคุกถึง 7 ปีและปรับ (Indian Penal Code 420) ความน่าสนใจคือ แทบไม่มีคดีพระปลอมให้เห็นในอินเดีย นั่นเพราะการบวชสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องมีหนังสือรับรอง เนื่องจากเป็นเสรีภาพทางศาสนา และยิ่งกว่านั้นคือไม่มีผู้เสียหายแจ้งความ เพราะชาวบ้านถือว่าพระก็เหมือนขอทานคนหนึ่ง ที่เราจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ไม่ใช่การบังคับ และที่สำคัญคือ “ไม่สามารถพิสูจน์เจตนาทางศาสนาได้ ว่าเขาบวชเพื่อหาเงินบริจาค/ฉ้อโกงหรือเพียงเพราะอยากใช้ชีวิตแบบพระเร่ร่อนบำเพ็ญตบะ” ข่าวการจับพระปลอมมีน้อยมาก หนึ่งในนั้นคือพระชาวบังคลาเทศถูกจับที่พุทธคยา ไม่ใช่เพราะเหตุผลว่าเขาเป็นพระปลอมที่ไม่มีใบรับรอง แต่เพราะเขาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าจัดการเพราะเป็นประเด็นเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย เนื่องจากพุทธคยาเคยถูกวางระเบิดโดยผู้ก่อการร้าย ซึ่งกรณีนี้ไม่เกี่ยวกับความเป็นพระปลอมหรือบิณฑบาตหาเงิน (Prabhatkhabar, 2025) พระที่ถูกจับมักจะเป็นพระจริง แต่เกี่ยวข้องกับข้อหาฟอกเงิน คือรับเงินบริจาคเยอะและไม่โปร่งใส เช่นกรณีขององค์กรรมาปะที่ 17 (Karmapa Ogyen Trinley Dorjee) ซึ่งถูกข้อหาฟอกเงินที่อินเดียในปี 2011 พบว่าเป็นเงินบริจาคจากหลายประเทศ และต่อมาเขาก็ได้หนีออกจากอินเดียไปและไม่กลับมาอีก (Tribuneindia, 2015) รัฐโลกวิสัยแบบอินเดียทำให้เห็นว่า รัฐจะเข้ามาจัดการก็ต่อเมื่อพระหรือวัดไม่โปร่งใสในการรับเงินบริจาค ซึ่งก็เป็นบรรทัดฐานเดียวกับการที่รัฐจะทำกับองค์กรหรือบุคคลอื่นๆ มิได้เกี่ยวกับสถานะพระว่าบวชแบบมีใบรับรองไหม หรือตีความคำสอนถูกต้องเป็นแบบเดียวกับของรัฐไหม เพราะรัฐโลกวิสัยให้เสรีภาพในการนำเสนอคำสอนของแต่ละคนอยู่แล้ว หากยึดตัวอย่างนี้ สิ่งที่รัฐไทยควรทำคือ สร้างมาตรการให้พระรายงานยอดเงินบริจาคอย่างโปร่งใส หรือหากทำการค้าก็ให้จ่ายภาษี แต่รัฐต้องไม่ไปยุ่งกับการตีความคำสอนของใคร เพราะขัดกับหลัก Freedom of Conscience    ผู้เขียนกำลังใส่เงินในบาตรพระเร่ร่อนในเมือง Dharamshala แม้จะเป็นพระปลอม แต่เขาก็ฝึกฝนจิตใจ ในเมือง Dharamshala พระบางรูปมีลูก ตอนเช้าก็ไปส่งลูกที่โรงเรียน เสร็จแล้วก็มาเปลี่ยนชุดพระเถรวาทในตลาด ผู้คนก็เห็นๆ กันอยู่ เขาถือบาตร ยืนสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ตอนเย็นก็ไปรับลูกพาบ้าน แต่การไปอยู่บ้านก็ไม่ได้แปลก เพราะพระทิเบตในเมือง Dharamshala จำนวนมากก็เช่าบ้านอยู่ และที่เคยเล่าไปในเรื่อง “พระนุ่งกางเกงดีกว่าพระกินเนื้อสัตว์” (เจษฎา บัวบาล, 2568) พระ/อนิลาเหล่านั้นก็มักจะใส่เสื้อยืดนุ่งกางเกงแบบชาวบ้านทั่วไปด้วยในเวลาที่เขาทำงาน กวาดถูห้อง ดูแล้วชีวิตพระปลอม (ที่ไม่มีหนังสือรับรอง) กับพระจริง (ที่มีหนังสือรับรอง) ในวิถีปฏิบัติก็แทบไม่ได้ต่างกัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่พระวัชรยานไม่รู้สึกอะไรกับพระปลอมแต่งชุดเถรวาทนั้นก็ได้ ทั้งนี้ พระปลอมที่แต่งกายแบบเถรวาทบางรูปก็ใช้ชีวิตเป็นพระแบบระยะยาว คือเขานุ่งห่มจีวรตลอดเวลา แค่ย้ายสถานที่ไปตามผู้แสวงบุญอยู่เสมอ พวกเขามักจับตัวกันเป็นกลุ่ม ราว 2-3 รูป พระเหล่านี้จำนวนมากมักมาจากพุทธคยา พวกเขาจะยืนหรือนั่งสวดมนต์ตลอดเวลา มองดูสำรวม ไม่พูดคุยเสียงดัง ไม่เอ่ยปากขอ เอาจริงๆ วิถีแบบนี้ก็ดูเคร่งกว่าพระไทยทั่วไปมาก และแน่นอนว่า เขาอาจได้อาหารและเงินราววันละ 500 บาท (จากการสังเกตการณ์เบื้องต้น ไม่ได้ใช้เวลานาน) ในเดือนพฤศจิกายน พระปลอมเถรวาทในเมือง Dharamshala จะเหลือแค่ 2-3 รูป ซึ่งก่อนหน้านั้นที่พบเห็นเป็นประจำราว 10 รูป หลวงพี่สุธี ชล นักศึกษาปริญญาเอก ม.เดลี ผู้อยู่ในเมืองนี้มากว่า 5 ปีกล่าวว่า “ช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม จะมีงานที่พุทธคยาและมีผู้แสวงบุญจำนวนมากมารวมตัวกัน พระเหล่านี้ก็จะเดินทางไปพุทธคยาด้วย” แน่นอนว่าพวกเขาก็เดินทางด้วยรถไฟและรถทัวร์ ซึ่งบางคนอาจเปลี่ยนชุดบางคนอาจใส่ชุดพระไปเลย “เอาจริงๆ หลายคนอาจเป็นพระเต็มเวลาด้วย คือเขาเป็นนักบวชแบบเดียวกับโยคีหรือบาบา บ้างอาจไม่มีครอบครัว ใช้ชีวิตแบบขอทาน แค่เขาบวชเองไม่มีใบรับรองเท่านั้น” วัดดาไลลามะจะมีผู้แสวงบุญเข้าไปเที่ยวชมจำนวนมาก แต่พระปลอมเหล่านี้มักไม่เข้าไป พวกเขามักยืนข้างนอก ลุง Tenzin ให้เหตุผลว่า “วัดไม่ได้ห้าม ทุกคนมีสิทธิเข้าไปฟังธรรมหรือร่วมงานของดาไลลามะได้ แต่เหตุที่ไม่เข้า อาจเพราะการอยู่ข้างนอกจะได้เงินมากกว่า คือมีคนเดินผ่านไปผ่านมาและให้อยู่ตลอด แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเข้าไปก็อาจได้แค่ 500 บาทที่ทางวัดถวายให้พระทุกรูปทุกทิกาย เผลอๆ บางทีพระทิเบตก็ยังเอามาถวายให้พระนอกวัดพวกนี้ด้วย” พระในอินเดียคือขอทาน แต่พระในไทยคืออภิสิทธิ์ชน คำว่า ภิกขุ แปลว่าผู้ขอ ซึ่งหมายถึง ขออาหาร แต่ต่อมาพยายามทำให้ศัพท์นี้ดูดีขึ้นด้วยการแปลว่า “ผู้เห็นโทษของสังสารวัฏ” (ภยํ อิกฺขตีติ = ภิกฺขุ) และพัฒนาแนวคิดมาเป็นผู้โปรดสัตว์ กล่าวคือ แทนที่จะพูดว่าไปบิณฑบาตตอนเช้าเพื่อขออาหาร ก็ไปเปิดโอกาสให้คนได้ทำบุญ ได้ฟังธรรม แน่นอนว่าการขอกับการไปโปรดอาจแยกออกจากกันได้ยาก พระพุทธเจ้าเองก็ทำแบบนั้น คือใช้โอกาสนั้นสอนคนไปด้วย แต่ไม่มีปัญหาอะไร ตราบที่พระยังเป็นขอทานทั่วไป ปัญหามาเกิดก็ต่อเมื่อรัฐไทยให้อภิสิทธิ์แก่พระ พระสังฆาธิการเช่น เจ้าอาวาส เลขาฯ รับเงินเดือนจากรัฐเหมือนข้าราชการ พระไทยจึงครองทั้ง 2 สถานะ และเหตุนี้เองที่ต้องตรวจสอบว่าบวชอย่างถูกต้อง คือมีใบรับรองเช่นหนังสือสุทธิไหม ขณะที่พระพวกนั้นเองก็ต้องทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบว่าใครเป็นพระจริง/พระปลอมบ้าง เพื่อให้คุ้มกับเงินเดือนที่ตนได้ จนละเมิดเสรีภาพในการตีความทางศาสนาของผู้อื่น เช่น ใครไม่โกนคิ้วหรือบิณฑบาตเกิน 9 โมงก็ต้องถูกตักเตือน/ลงโทษ สังคมไทยที่อยู่ภายใต้รัฐศาสนายังมองว่า ไม่ควรให้เสรีภาพคนในการนับถือศาสนา เพราะเขาอาจตีความคำสอนผิด และอาจหลอกลวงผู้คนให้หลงงมงาย จึงต้องมีอำนาจรัฐคอยตรวจสอบความเชื่อและจะคอยบอกว่า ใครคือพระดีพระชั่ว พระจริงพระปลอม ให้เคารพบูชาคนนั้น ให้จับสึกคนนี้ ซึ่งพระที่ถูกบอกว่า “ดี” ก็จะอยู่ในวัดที่มีพื้นที่พิเศษ ชาวบ้านทั่วไปเข้าไม่ถึง ไม่รู้ว่าเบื้องหลังท่านเป็นอย่างไรบ้าง ขณะที่พระในอินเดียยังคงดำรงสถานะขอทาน ใช้ชีวิตสันโดษ คือมีข้าวของน้อยชิ้น เดินทางไปเรื่อยๆ รับอาหารและเงินบริจาคให้พอเลี้ยงชีพตนได้ (หรือครอบครัวตนได้) ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นรวย เพราะชาวบ้านที่พบเห็นก็สงเคราะห์ให้ตามที่เขามี หากเห็นแล้วไม่ศรัทธาก็ไม่ถวาย หรือแม้ไม่ศรัทธาเเต่มองว่าเป็นนักบวชคนหนึ่งที่ต้องมีชีวิตรอด เขาก็ให้อาหารหรือเงินเล็กๆ น้อยๆ ไป โดยไม่ต้องมีวิธีคิดว่า “นี่เป็นพระจริงหรือพระปลอม” ในสังคมแบบนี้ พระจะไว้ผมยาว โกนผมสั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะศาสนาเป็นเสรีภาพ หากพระพวกนั้นมีข้าวของเยอะ หรือใช้ iPhone คนที่เห็นก็จะไม่ศรัทธาและไม่ถวายของเอง และเห็นได้ง่าย เพราะเขาต้องแบกของเดินไป ไม่มีวัดอยู่ ไม่มีกุฏิหรูสบายที่ใช้เก็บสัมภาระจำนวนมาก การนอนข้างถนนหรือบ้านเช่าจะอยู่ในสายตาของชาวบ้านมากกว่า ชาวบ้านไม่ต้องให้รัฐไปตรวจสอบหนังสือรับรองหรือจับสึก นี่เป็นตัวอย่างของประเทศที่มองว่าศาสนาเป็นเรื่องเสรีภาพ ไม่ต้องมีคณะกรรมการปกป้องศาสนามาทำหน้าที่ตรวจสอบ จับจ้อง ว่าเขาปฏิบัติและสอนถูกตามที่รัฐกำหนดไว้ไหม เพราะตระหนักดีว่าแต่ละคนควรมีสิทธิที่จะเชื่อและตีความศาสนาได้ในแบบของตน     อ้างอิง Indian Constitution. (2024). Accessed from https://tinyurl.com/ncd9xdb9 Indian Penal Code 419. Accessed from https://devgan.in/ipc/section/419/ Indian Penal Code 420. Accessed from https://devgan.in/ipc/section/420/ Prabhatkhabar. (2025). A Bangladeshi man was hiding in Bodhgaya as a monk; after the revelation, the monks' horoscopes are being scrutinized. Accessed from https://tinyurl.com/2rpavhva Tribuneindia. (2015). SC stays Karmapa’s trial in money-laundering case. Accessed from https://tinyurl.com/zb3e63hd เจษฎา บัวบาล. (2568). พระนุ่งกางเกงดีกว่ากินเนื้อสัตว์: สำรวจมุมมองชาวพุทธวัชรยานในอินเดียที่มีต่อพระภิกษุ. เข้าถึงจาก https://prachatai.com/journal/2025/09/114791 อนาคามี. (2568). ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสระคนกับปัญจุปาทานขันธ์. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/24jzhx2v * บทความ * สังคม * วัฒนธรรม * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * พระปลอม * อินเดีย * เสรีภาพทางศาสนา * พุทธศาสนา * เจษฎา บัวบาล
15.11.2025 14:34 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กวีประชาไท: ปีศาจเผยหน้ามาอีกครั้ง กวีประชาไท: ปีศาจเผยหน้ามาอีกครั้ง ชาย แสงอากาศ   sarayut Sat, 2025-11-15 - 20:57     เมื่อปีศาจเผยหน้ามาอีกครั้ง ใจชิงชังยังชัดมิขัดขืน คนลอยนวลล้วนมีที่เหยียบยืน คนไม่ฟื้นเกลื่อนฟางกลางหมอกควัน ลมหนาวยกกิ่งไม้โยกไกวแกว่ง ฟ้ารอนแสงพลบค่ำร่ำอกหวั่น เสียงแมลงหายไปไยเงียบงัน ใครหนึ่งนั้นหายหน้าไม่มาพบ เขาหายลับกับเสียงโศกสะอื้น วันขอคืนพื้นที่มีจุดจบ นอนหนุนดินห่มดาวคราวเลือนลบ เลือดแดงกลบใบหน้าคาลูกกรง เมื่อหน้าร้อนตอนนั้นกลับสั่นหนาว แม้มีดาวผุดผาดราษฎร์ประสงค์ ฟ้ามีฝนกระสุนซัดตัดชีพลง กวาดหญ้าดงดายดับกับกองไฟ เมื่อปีศาจเผยหน้ามาอีกหน บางอกข้นแค้นคับกับเพลิงไหม้ คนรับผิดรับชอบต้องตอบใคร ยุติธรรมอยู่ไหนไม่มีจริง ขอไม่ลืมใบหน้าปีศาจร้าย บางความตายมีความหมายในบางสิ่ง มีบางเสียงไม่ควรถูกทอดทิ้ง บางใบหน้าแน่นิ่งยิ่งไม่ลืม.   * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * กวีประชาไท * ชาย แสงอากาศ
15.11.2025 14:12 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กวีประชาไท: ห่วงโซ่อาหาร กวีประชาไท: ห่วงโซ่อาหาร ธุลีดาวหาง   sarayut Sat, 2025-11-15 - 20:57 ดินน้ำลมไฟอยู่ใกล้ชิด เป็นทั้งมิตรศัตรูอยู่ใกล้ ๆ เป็นต้นเหตุให้ชีวิตติดหัวใจ เต้นอยู่ในอกข้างซ้ายพาร่ายรำ สร้างดวงหน้าพาอารมณ์ทั้งขมหวาน บ้างเบิกบานบ้างเบี้ยวบูดพาพูดพร่ำ สร้างสรรค์สรรพสำเนียงเสียงสูงต่ำ ร่วมลำนำกับโลกโชคและเคราะห์ มีห่วงโซ่อาหารบงการหิว คราย่นคิ้วมีริ้วรอยมันคอยเกาะ หลากรสชาติน้ำลายสอคอยออเซาะ อร่อยเหาะคิ้วก็คล้ายผ่อนคลายพลัน แต่ห่วงโซ่ใครอดโซไม่โอเค เข้าซังเตมีของฟรีไม่มีอั้น คนร่ำรวยอร่อยลิ้นกินหมูหัน คนบ้านฉันน้ำท่วมทุ่งมีถุงยังชีพ บนแผ่นดินสุวรรณภูมิชอุ่มพืช ขวานทองยืดยาวประวัติปากกัดตีนถีบ แผ่นดินไม่เคยไหวให้เร่งรีบ แค่โดนบีบจากน้ำท่วมอ่วมหัวใจ สลับกับฝนแล้งข้าวแห้งตาย น้ำเหือดหายระเหยเคยหมองไหม้ เกิดเขื่อนกักน้ำภูเขาเอาไว้ใช้ ป้องกันภัยน้ำท่วมรวมด้วยกัน ดินน้ำลมไฟให้มาห่วงโซ่อาหาร พลังงานแสงแดดแผดแข่งขัน พลังงานลมคือทรัพย์นับอนันต์ โลกร้อน!? พลันพัดพายุอกคุไฟ น้ำท่วมประชันอดโซห่วงโซ่อาหาร งานแจกทานถุงยังชีพรีบหาให้ ถุงจังหวัด,เทศบาลบานตะไท รวมน้ำใจไม่ขาดถุงพระราชทาน............ ปี 2555 ยุคนายกฯยิ่งลักษณ์ หลังน้ำท่วมหนักประจักษ์เป็นหลักฐาน ระดมสมองมาประชาพิจารณ์ จะบริหารจัดการน้ำต่างความคิด ประชาคมชาวบ้านเป็นการใหญ่ งบ ฯ ไม่ใช่น้อยหนาภารกิจ ไม่รู้ได้กี่โครงการทุกสารทิศ? นกหวีดปรี้ดปี้ปรี้ดปิด 9 ปี  ?!   * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * กวีประชาไท * ธุลีดาวหาง
15.11.2025 14:07 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กต.ผิดหวังท่าทีผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หลังระงับการเจรจาลดภาษีนำเข้า กต.ผิดหวังท่าทีผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หลังระงับการเจรจาลดภาษีนำเข้า auser15 Sat, 2025-11-15 - 18:04 ก.ต่างประเทศ ผิดหวังท่าทีผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หลังได้รับแจ้งเมื่อคืนวันที่ 14 พ.ย. ระงับการเจรจาลดภาษีนำเข้า จนกว่าจะปฏิบัติตามปฏิญญาไทย-กัมพูชา ชี้ต้องแยกเรื่องความมั่นคงกับการค้า ยันไทยเดินหน้าบนผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ 15 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า  นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการเจรจาภาษีการนำเข้าสินค้ากับสหรัฐอเมริกา ว่า เมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) ไทยได้รับการแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐ ว่า สหรัฐขอระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทย - สหรัฐเป็นการชั่วคราว และจะกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวอีกครั้ง เมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่า จะปฏิบัติตามปฏิญญา สันติภาพไทย- กัมพูชา และหวังว่าจะหาทางออกเรื่องนี้ได้โดยเร็ว นายนิกรเดช กล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าว ไทยมีความผิดหวังในท่าที จากผู้แทนการค้าสหรัฐ โดยไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า เรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นทวิภาคี ระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งก็เป็นประเด็นทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมของไทยกับสหรัฐ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ได้ย้ำกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการหารือทางโทรศัพท์ว่า สหรัฐไม่ได้ประสงค์จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ ตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ จึงขอย้ำว่าสำหรับประเทศไทย ในประเด็นการค้าระหว่างประเทศ และมาตรการทางภาษีของประเทศที่สาม เป็นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่จะมีการพิจารณาโดยรอบคอบในกรอบความร่วมมือทางการค้า และคำนึงถึงผลประโยชน์บนประเทศคู่เจรจาเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลยังคงมีนโยบายขยายโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านทางเจรจา และข้อตกลงการค้าเสรี การเปิดตลาดใหม่ๆ และการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย ไทยยังคงยินดี และตระหนักในบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐในการสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาลดความตึงเครียดระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ตามที่ปรากฏในการหารือระหว่างนายอนุทิน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยไทยจะเดินหน้าบนผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นสำคัญที่มุ่งสู่สันติภาพ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการรับมือในการจัดเก็บภาษีของสหรัฐหลังจากนี้ นายนิกรเดช ระบุว่า นายอนุทินชี้แจงไปยังประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า จุดยืนของไทยมีความตั้งใจในการแยกแยะเรื่องชายแดน และการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยไทยมีประสงค์จะขอให้สหรัฐแยกเรื่องนี้ออกด้วยเช่นกัน และมุ่งมั่นที่จะเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐต่อ ทั้งจะพยายามใช้กลไกทวิภาคีหารือกับกัมพูชา นายนิกรเดช เปิดเผยอีกว่า ประธานาธิบดีสหรัฐแสดงถึงความเข้าใจหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ รวมถึงมีการรับปากที่จะไปพูดคุยกับผู้แทนการค้าสหรัฐ อีกทั้งจากการที่นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ว่าหากจัดการทุ่นระเบิดได้ จะขอลดภาษี ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐก็ตอบรับแบบเชิงหยอกล้อว่าจะไปทำให้ด้วยความยินดี ส่วนการดำเนินการต่อจากนี้ นายนิกรเดช ระบุว่า กระทรวงด้านเศรษฐกิจ จะดำเนินการเจรจาภาษีต่อไป อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศก็หวังว่าการเจรจากับประธานาธิบดีสหรัฐและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะช่วยกดดันให้กัมพูชาเข้าใจถึงเป้าประสงค์ประเทศไทยที่วางไว้   * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * ความมั่นคง * สหรัฐอเมริกา * ภาษีตอบโต้การค้า * Reciprocal Tariff * กระทรวงการต่างประเทศ * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
15.11.2025 11:07 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
พุธหน้าคุยที่มา ‘กมธ.รับฟัง’ ต่อ 'ชูศักดิ์' แจง กมธ.ตัดเลือกตั้ง ‘กมธ.ยกร่างฯ’ หวั่นขัดศาล รธน. พุธหน้าคุยที่มา ‘กมธ.รับฟัง’ ต่อ 'ชูศักดิ์' แจง กมธ.ตัดเลือกตั้ง ‘กมธ.ยกร่างฯ’ หวั่นขัดศาล รธน. admin666 Sat, 2025-11-15 - 16:33 ชูศักดิ์ประเมินไทม์ไลน์พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่น่าจะเสร็จทันพิจารณาวาระ 2 ในสภาสิ้นเดือน พ.ย.นี้ แจงปัญหาที่ กมธ.ตัด “คูหา” ให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกทั้งหมดเพราะกลัวจะขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามประชาชนเลือกตั้งโดยตรง แม้จะใส่ขั้นตอนให้สภามาเลือกจากคนที่ประชาชนเลือกมาอีกที  15 พ.ย.2568 หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐสภา ประชุมกันต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 11-14 พ.ย. เรื่องหนึ่งที่เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากคือ ที่มาของผู้ที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญว่าจะมาด้วยวิธีการใด และจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ตอนนี้ กมธ.สรุปออกมาว่าจะให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) 35 คน เลือกโดย สส.- สว. แต่ไม่ใช่การโหวตเสียงข้างมากธรรมดา หากแต่เป็นรูปแบบสมาชิกรัฐสภารวมกัน 20 คนเพื่อเลือก กมธ.ยกร่างฯ ได้ 1 คน รวมถึงเรื่องสภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบ ‘กมธ.รับฟังความเห็น’ แต่ยังไม่มีข้อสรุปในส่วนนี้ว่าจะมีที่มาอย่างไร ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการคนหนึ่ง กล่าวถึงความคืบหน้าการประชุมเมื่อวานนี้ที่มีการพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็น กมธ.ยกร่างฯ ว่า จะเป็นกลุ่มคนที่เคยเป็นข้าราชการ ศาล อัยการ หรือ สส.เพราะต้องการคนที่พอมีความรู้ความสามารถในการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่มีเรื่องที่คุยกันยาวหน่อยคือ มีคนมาสมัครทั่วประเทศ แล้วมาจับให้เหลือ 35 คน จะทำอย่างไรให้พิจารณาเลือกกันได้อย่างยุติธรรม ไม่มีการขัดขวางกัน สุดท้ายก็ใช้สูตรสมาชิกรัฐสภา 20 คน เลือก กมธ.ยกร่างฯ 1 คน ที่ก็น่าจะพอไปได้ แม้ว่าไม่ถึงสมบูรณ์ 100%  นอกจากนั้น เมื่อวานนี้ กมธ.พิจารณาร่างฯ ยังได้คุยกันถึงเรื่อง กมธ.รับฟังความเห็นซึ่งถูกเปลี่ยนมาจากสภาที่ปรึกษาฯ ที่จะให้มี 35 คนเหมือน กมธ.ยกร่างฯ ตอนนี้ยังเหลือประเด็นที่มาของผู้ที่จะได้เป็น กมธ.รับฟัง รวมถึงจะกำหนดให้มีคุณสมบัติอย่างไร ซึ่ที่ประชุมเห็นว่าคุณสมบัติจะต้องต่างจาก กมธ.ยกร่างฯ เนื่องจากมีหน้าที่รับฟังความเห็นจากประชาชน จึงคิดว่าจะต้องกำหนดคุณสมบัติให้กว้างกว่า กมธ.ยกร่างฯ โดยเน้นให้เป็นคนที่มีประสบการณ์รับฟังความเห็นหรือเคยทำประชาพิจารณ์ เป็นต้น ตรงนี้ก็มอบให้ไปศึกษากันมาเพื่อนำเสนอในที่ประชุมสัปดาห์หน้า ชูศักดิ์กล่าวว่า ในช่วงท้ายการประชุมมีการพูดถึงเรื่องไทม์ไลน์ของการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อด้วยว่า ต้องการให้เสร็จทันช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้เปิดประชุมสมัยวิสามัญพิจารณาวาระ 2 ให้เสร็จก่อนที่จะนำร่างเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 3 ในการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.นี้  กมธ.ของเพื่อไทย คาดการณ์ว่า จะสามารถเปิดประชุมเพื่อพิจารณาวาระที่ 2 ได้ในช่วง 24-26 พ.ย.นี้เนื่องจากมีความชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า กมธ.จะพิจารณามาตราที่เหลือเสร็จทัน เขาบอกว่าขณะนี้ กมธ.พิจารณามาถึงมาตรา 256/10 แล้ว จากทั้งหมดที่มีถีงมาตรา 256/39 แต่มาตราท้ายๆ การพิจารณาไม่น่าจะยุ่งยากเพราะเป็นเรื่องทางธุรการเป็นส่วนใหญ่ ที่ผ่านมาถกเถียงเรื่องที่มา ของ กมธ.ยกร่างฯ กับสภาที่ปรึกษาฯ กันเยอะก็เป็นธรรมชาติของการพิจารณากฎหมายที่ต้องให้ตกผลึกกันก่อน ไม่ให้มีปัญหากันในภายหลัง เมื่อถามว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดูเหมือนประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมได้น้อยลงเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่กังวลหรือไม่ ชูศักดิ์ตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะ กมธ.ไปกังวลมากกับความเสี่ยงที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพราะร่างของพรรคเพื่อไทยเดิมก็ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญชั้นหนึ่งก่อน หรือของพรรคประชาชนก็ให้สมัครรับเลือกตั้งมาเช่นกัน  กมธ.จากเพื่อไทยกล่าวต่อว่า แต่เมื่อ กมธ.ไปมองว่าการให้ประชาชนเลือกจะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลที่ห้ามให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง เขาก็มองว่าการให้ประชาชนเลือกมาในชั้นต้น ไม่ใช่การเลือกผู้ร่างโดยตรง เพราะให้มีการกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งโดยให้รัฐสภาเลือก แต่ว่าท้ายที่สุดที่ประชุมก็มองว่าเป็นเรื่องเสี่ยง เสียงส่วนใหญ่เขาก็ตัดเรื่องการเลือกโดยตรงของประชาชนออก ตรงนี้ก็เป็นปัญหาว่าเมื่อตัดออกไม่ให้ประชาชนเลือกโดยตรง แล้วจะทำให้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมีที่มาที่จะสามารถยึดโยงกับประชาชน มีความเป็นธรรมและสร้างความยุติธรรมได้ย่างไร จึงช้าอยู่ตรงนี้พอควร  เมื่อถามชูศักดิ์ว่าความกังวลของ กมธ.เรื่องการขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนี้เกิดขึ้นกับแม้กระทั่งโมเดลที่ให้รัฐสภาคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากคนที่ประชาชนเลือกมาใช่หรือไม่ ประเด็นนี้เขาเห็นว่า กมธ.กังวลเรื่องนี้มากเกินไป เพราะคิดว่ากระบวนการร่างกฎหมายเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้กังวลขนาดนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อฟังจากการอภิปรายในรัฐสภาหรือใน กมธ.แล้ว พอคนเห็นว่าจะมีเลือกตั้งก็กังวลว่าจะขัดคำวินิจฉัยทันที ทั้งที่คำวินิจฉัยมีเพียงว่าห้ามประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง  ชูศักดิ์กล่าวต่อว่า แม้แต่ร่างของพรรคประชาชนก็ดีหรือร่างของพรรคเพื่อไทยก็ดี เป็นการให้ผู้สมัครเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญไปสมัคร เสร็จแล้วก็ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครมาชั้นหนึ่งก่อน เมื่อผู้สมัครได้รับเลือกตั้งมาก็ยังไม่เป็นทันที แต่จะได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ต่อเมื่อสมาชิกรัฐสภาเลือกอีกชั้นหนึ่งเสียก่อน แม้จะเป็นแบบนี้ กมธ.ส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกว่าจะขัดต่อคำวินิจฉัย ก็เลยตัดเรื่องการมี ‘คูหา’ ออกไปหมด จนกลายเป็นปัญหาที่ถกกันยาว เมื่อตัดการเลือกตั้งออกไปแล้วเรื่องที่ตามมาก็คือจะให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีที่มาอย่างไรถึงจะยุติธรรม จึงมีการไปคิดสูตร 20 หยิบ 1 ขึ้นมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังมีช่องว่างอยู่ แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีไปกว่านี้ได้ เมื่อถามว่า แล้วความกังวลเรื่องขัดคำวินิจฉัยนี้ส่งผลต่อการเลือกตั้ง กมธ.รับฟังความเห็นด้วยใช่หรือไม่ ชูศักดิ์ตอบว่ายังเป็นเรื่องที่จะมีการพิจารณากันในวันพุธนี้ (19 พ.ย.) ว่าจะให้ กมธ.รับฟังทั้ง 35 คนมีที่มาอย่างไร เพราะเท่าที่เขาฟังดูก็เหมือนจะให้ใช้รูปแบบเดียวกันกับ กมธ.ยกร่างฯ ที่อาจจะให้ใช้วิธี 20 หยิบ 1 เหมือนกัน  เมื่อถามว่าแล้วจะยังสามารถทำให้ กมธ.รับฟังความเห็นเป็นแบบเลือกตั้งได้หรือไม่ ชูศักดิ์บอกว่า กมธ.ใช้หลักว่าให้ไปยึดหลักเดียวกับ กมธ.ยกร่างฯ ถ้ายึดหลักเดียวกันก็จะเป็นรูปแบบที่ให้มีผู้สมัครเข้ามาแล้วก็ให้สภาเลือกมา 35 คน แล้วจะเลือกอย่างไรก็ให้ใช้วิธีเดียวกัน แต่เรื่องที่มาของ กมธ.รับฟังความเห็นยังไม่ถึงที่ยุติว่าจะใช้วิธีเดียวกันหรือไม่ หรือยังจะมีสูตรอะไรที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่ * ข่าว * การเมือง * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * ชูศักดิ์ ศิรินิล * รัฐธรรมนูญ 2560 * แก้รัฐธรรมนูญ * มาตรา 256
15.11.2025 09:46 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
เปิดรับฟังความเห็น 'ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว' มุ่งคุ้มครองเหยื่อ กำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดชัดเจนยิ่งขึ้น เปิดรับฟังความเห็น 'ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว' มุ่งคุ้มครองเหยื่อ กำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดชัดเจนยิ่งขึ้น auser15 Sat, 2025-11-15 - 15:53 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. .... ปรับแก้ร่างกฎหมายฉบับเดิมสอดคล้องสถานการณ์ยุคปัจจุบัน มุ่งคุ้มครองเหยื่อ กำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดชัดเจนยิ่งขึ้น 15 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. .... เสนอโดย นางสาววราภรณ์ แช่มสนิท กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 23,989 คน โดยเป็นการปรับปรุงแก้ไขจากกฎหมายฉบับเดิม ปี 2550 ให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น พร้อมเพิ่มกลไกคุ้มครองเหยื่อ และกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังพบว่ามาตรการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ตามกฎหมายปี 2550 ยังไม่เพียงพอ              สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการยกระดับการคุ้มครองสวัสดิภาพของเหยื่อความรุนแรง และเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความรุนแรง โดยมีมาตรการใหม่และปรับปรุงจากกฎหมายเดิม อาทิ ดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาโดยตรง สำหรับการกระทำที่เข้าข่ายความผิด เช่น ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน หรือกักขังหน่วงเหนี่ยว เพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำ เพื่อป้องกันการใช้ความรุนแรงต่อเนื่อง จำกัดการยอมความหรือถอนคำร้องทุกข์ ให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ถูกกระทำ และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่รัดกุม เพื่อความปลอดภัยของเหยื่อ เพิ่มบทบาท คณะทำงานสหวิชาชีพ และ ผู้จัดการรายกรณี ในการให้ความช่วยเหลือทั้งด้านกฎหมาย จิตวิทยา และสังคมสงเคราะห์ การใช้มาตรการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำความรุนแรง ควบคู่กับกระบวนการลงโทษทางอาญา เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว             สำหรับประเด็นเปิดรับฟังความเห็น อาทิ เห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขและเพิ่มคำนิยามคำว่า ความรุนแรงในครอบครัว บุคคลในครอบครัว คดีอาญาที่เกี่ยวพัน คำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานคุมความประพฤติผู้จัดการรายกรณี คณะทำงานสหวิชาชีพ เห็นด้วยหรือไม่กับการกำหนดให้การกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวที่เข้าลักษณะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาต้องให้ดำเนินการเป็นคดีอาญาและลงโทษตามกฎหมายนั้น  เห็นด้วยหรือไม่กับการกำหนดให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวพันกับคดีความรุนแรงในครอบครัวจะลงโทษผู้ที่ได้กระทำความผิดตามกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด เพราะมีเหตุมาจากที่ผู้ที่ได้กระทำความผิดหรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น ถูกกระทำด้วยความรุนแรง  เห็นด้วยหรือไม่กับการกำหนดให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หรือผู้ที่พบเห็นหรือทราบการกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่             ทั้งนี้ ประชาชนสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. .... โดยแสดงความคิดเห็นได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์รัฐสภา https://www.parliament.go.th หมวดการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ  * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว * ความรุนแรงในครอบครัว
15.11.2025 08:57 — 👍 0    🔁 1    💬 0    📌 0
Preview
ปราบขบวนการค้าโบราณวัตถุผิดกฎหมาย UN ยึดของกลับคืนกว่า 37,000 ชิ้น ปราบขบวนการค้าโบราณวัตถุผิดกฎหมาย UN ยึดของกลับคืนกว่า 37,000 ชิ้น auser15 Sat, 2025-11-15 - 15:25 การค้าโบราณวัตถุผิดกฎหมายเป็นอาชญากรรมทำเงินได้มหาศาลเทียบเท่าการค้าอาวุธและยาเสพติด องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลกร่วมมือกันทลายขบวนการ เมื่อปี 2024 ยึดของมีค่าทางวัฒนธรรมคืนได้กว่า 37,000 ชิ้น UNESCO เปิดพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงแสดงโบราณวัตถุที่ถูกขโมย พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ช่วยติดตามที่มา โบราณวัตถุชิ้นหนึ่งจัดแสดงในนิทรรศการที่สำนักงานใหญ่ UN หัวข้อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม | ภาพจาก: UN Photo/Amanda Voisard  15 พฤษจิกายน 2025 เว็บไซต์ UN News รายงานว่า การค้าโบราณวัตถุและมรดกทางวัฒนธรรมผิดกฎหมายเป็นอาชญากรรมที่เก่าแก่และทำเงินได้มากที่สุดรูปแบบหนึ่งของโลก แต่ตอนนี้องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลกกำลังร่วมมือกันทลายขบวนการเหล่านี้ เมื่อปี 2024 เพียงปีเดียว เจ้าหน้าที่ยึดของมีค่าทางวัฒนธรรมไปได้มากกว่า 37,000 ชิ้น ทั้งโบราณวัตถุทางโบราณคดี งานศิลปะ เหรียญ และเครื่องดนตรี จากปฏิบัติการระดับนานาชาติที่ Interpol และองค์กรอื่นๆ ร่วมมือกับตำรวจและศุลกากรจาก 23 ประเทศ ศุลกากรยูเครนสกัดของมีค่าทางประวัติศาสตร์ 87 ชิ้น รวมถึงรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญเซราฟิมแห่งซารอฟและเหรียญโบราณที่พวกลักลอบส่งออกพยายามลำเลียงไปโปแลนด์ มอลโดวา และโรมาเนีย ที่สเปน เจ้าหน้าที่เปิดโปงกลุ่มที่ปล้นสะดมแหล่งโบราณคดีในจังหวัดคาเซเรส พวกเขาใช้เครื่องตรวจจับโลหะขุดเหรียญโรมันนับพันเหรียญแล้วขายผ่านโซเชียลมีเดีย ส่วนที่กรีซ ตำรวจจับคน 3 คนที่พยายามขายรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์สมัยไบแซนไทน์ 5 ชิ้นในราคา 80,000 ดอลลาร์ สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ระบุว่า การลักลอบค้ามรดกทางวัฒนธรรมทำเงินได้มหาศาลเทียบเท่ากับการค้าอาวุธและยาเสพติด แต่ต่างจากการค้าผิดกฎหมายรูปแบบอื่น การค้าโบราณวัตถุไม่ได้ถูกห้ามโดยสิ้นเชิง ความต้องการโบราณวัตถุและงานศิลปะสูง ประกอบกับกฎระเบียบที่หละหลวม ทำให้ตลาดนี้ทำกำไรได้ง่ายและเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง สงคราม หรือสังคมวุ่นวาย เพราะเมื่อสถานการณ์วิกฤต แหล่งโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์มักไม่มีคนดูแล ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติฉวยโอกาสจากวิกฤตเหล่านี้ ดำเนินการผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน และทำกำไรจากทั้งตลาดถูกกฎหมายและตลาดมือ ก่อนถึงวันต่อต้านการค้ามรดกทางวัฒนธรรมผิดกฎหมายสากลที่จัดขึ้นทุกวันที่ 14 พฤศจิกายน คริสตา พิกคัต (Krista Pikkat) จาก UNESCO บอกกับ UN News ว่า "การค้าผิดกฎหมาย การโจรกรรม และการโอนมรดกทางวัฒนธรรมอย่างผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อสิทธิทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ความทรงจำของเรา รวมถึงชุมชนและประวัติศาสตร์ของพวกเขา" ปัจจุบันพวกค้าโบราณวัตถุหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และการประมูลเพื่อขายของที่ขโมยมามากขึ้น รวมถึงของที่กู้ขึ้นมาจากแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ UNESCO ประณามการโจรกรรม "โบราณวัตถุล้ำค่า 8 ชิ้น" จากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ชื่อดังในกรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อเดือนตุลาคม 2025 พร้อมเตือนว่าอาชญากรรมเหล่านี้ "เป็นภัยต่อการอนุรักษ์ การศึกษา และการส่งต่อสิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์อันมีค่า" องค์กรย้ำว่าการค้าผิดกฎหมายหล่อเลี้ยงขบวนการอาชญากรรมระดับโลกที่เกี่ยวพันกับการฟอกเงิน การหลีกเลี่ยงภาษี และแม้กระทั่งการสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มก่อการร้าย ตั้งแต่ปี 2023 UNESCO ได้ฝึกอบรมบุคลากรพิพิธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่ศุลกากรกว่า 1,200 คนจาก 80 ประเทศ เพื่อเสริมสร้างกรอบกฎหมาย ฝึกอบรม และสร้างความตระหนักรู้ให้สาธารณชน พิกคัตเสริมว่า "เรายังร่วมมือกับพันธมิตร อย่างเช่น สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เพื่อดูว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์สามารถใช้ในการตรวจสอบที่มาของโบราณวัตถุได้อย่างไร น่าสนใจว่าเทคโนโลยีใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้เราในการต่อสู้กับการค้าผิดกฎหมาย" เมื่อเดือนกันยายน 2025 UNESCO เปิดตัว พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงแห่งแรกของโลกสำหรับโบราณวัตถุที่ถูกขโมย ใช้เทคนิคสร้างโมเดล 3 มิติและเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนเพื่อแสดงสำเนาดิจิทัลของของที่ถูกขโมย แพลตฟอร์มนี้มีเนื้อหาเพื่อการศึกษา คำให้การจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และตัวอย่างการคืนโบราณวัตถุที่ประสบความสำเร็จ พิกคัตบอกว่า "แนวคิดของพิพิธภัณฑ์นี้คือ สักวันหนึ่งมันจะว่างเปล่า" เธอยกตัวอย่างจากประเทศบ้านเกิดของเธออย่างเอสโตเนีย ที่เสนอรูปปั้นแท่นบูชาหลายชิ้นจากโบสถ์เล็กๆ บนเกาะแห่งหนึ่งเข้าคอลเล็กชันของพิพิธภัณฑ์ ผลงานเหล่านี้สร้างโดยช่างฝีมือจากลือเบ็คในศตวรรษที่ 16 สะท้อนความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ระหว่างเอสโตเนียกับสันนิบาตฮันเซียติก เธอเน้นว่าคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่ความหมายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ UNESCO เตือนว่าสังคมที่ถูกปลดมรดกจะสูญเสียส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์และรากฐานสำหรับพัฒนาอนาคต UNESCO ยังคงสนับสนุนประเทศต่างๆ ในการระบุและกู้คืนโบราณวัตถุที่ถูกขโมย รวมถึงในเอเชียกลางที่มีการลักลอบค้าโบราณวัตถุจากอัฟกานิสถาน เครื่องมือดิจิทัลอย่างทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ฐานข้อมูล และเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยติดตามที่มาของโบราณวัตถุได้แล้ว เจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ผู้ซื้อขอเอกสารราชการพิสูจน์ที่มาเสมอ และหลีกเลี่ยงผู้ขายออนไลน์ที่ไม่รู้จัก หากเห็นของน่าสงสัยสามารถแจ้งตำรวจท้องถิ่นหรือ Interpol โดยตรง * ข่าว * วัฒนธรรม * ต่างประเทศ * โบราณวัตถุ * มรดกทางวัฒนธรรม * UNESCO
15.11.2025 08:39 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กกต.แจงข่าวอดีต พนง.ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องรับโอนเงินคดีฮั้วเลือก สว. เกิดก่อนตั้งคณะสืบสวนฯ ชุด 26 กกต.แจงข่าวอดีต พนง.ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องรับโอนเงินคดีฮั้วเลือก สว. เกิดก่อนตั้งคณะสืบสวนฯ ชุด 26 auser15 Sat, 2025-11-15 - 14:57 กกต. แจงข่าวอดีตพนักงานถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องรับโอนเงินคดีฮั้วเลือก สว. เกิดก่อนตั้งคณะสืบสวนฯ ชุด 26 ไม่เกี่ยวกัน และสั่งให้ออกและตั้งกรรมการสอบแล้ว พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อความโปร่งใส 15 พฤศจิกายน 2568 หลายสื่อ อาทิ ผู้จัดการออนไลน์ เดลินิวส์ และสำนักข่าวไทย รายงานตรงกันว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารชี้แจงตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการนำเอกสารไปยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษ ในประเด็นที่มีการกล่าวหาว่าพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรายหนึ่งมีพฤติการณ์รับโอนเงินในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน พ.ศ. 2567 ที่เชื่อมโยงกับการเรียกรับผลประโยชน์เกี่ยวกับคดีฮั้ว สว. นั้น สำนักงาน กกต. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่าพฤติการณ์รับโอนเงินเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2567 ส่วนคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ซึ่งถูกแต่งตั้งมาปฏิบัติหน้าที่ในการเลือก สว. ตามที่ถูกอ้างถึงในข่าว ได้รับการแต่งตั้งให้เริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 จึงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวตามที่ถูกเผยแพร่ เมื่อสำนักงาน กกต. ทราบเรื่องพฤติการณ์ที่พาดพิงถึงพนักงานรายดังกล่าว ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยทันที โดยมีคำสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนในระหว่างการดำเนินการ เพื่อความโปร่งใสและป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบ พร้อมทั้งได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดำเนินการทางวินัย ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้ได้เริ่มขึ้นก่อนมีการเผยแพร่ข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์แล้ว สำนักงาน กกต. ขอยืนยันว่าให้ความสำคัญสูงสุดต่อความโปร่งใส ความสุจริต และความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ทุกขั้นตอน และพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีที่ กกต. รีบออกเอกสารชี้แจงนี้เกิดการที่นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ เปิดเผยแผนผังเส้นทางการเงินที่อ้างว่าเป็นหลักฐานซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับขบวนการฮั้วเลือกตั้ง สว. ในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ โดยหลักฐานดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ กกต. รายหนึ่ง ชื่อย่อ ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นพนักงานสืบสวนและไต่สวนประจำ กกต. โดยถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินโอนจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายฮั้วเลือก สว. ในพื้นที่ * ข่าว * การเมือง * กกต. * คดีฮั้วเลือก สว.
15.11.2025 08:03 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ยืนยันรัฐบาลไม่ปรับค่ามาตรฐานสารหนู จากไม่เกิน 0.01 มก./ล เป็น 0.05 มก./ล ยืนยันรัฐบาลไม่ปรับค่ามาตรฐานสารหนู จากไม่เกิน 0.01 มก./ล เป็น 0.05 มก./ล auser15 Sat, 2025-11-15 - 14:41 รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันรัฐบาลไม่ปรับค่ามาตรฐานสารหนู จากไม่เกิน 0.01 มก./ล เป็น 0.05 มก./ล ตามมาตรฐานจีน มาเลเซีย เวียดนาม และอีกหลายประเทศที่ใช้ รวมถึงตรงกับมาตรฐานของเมียนมา พร้อมจะออกมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น เพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและประชาชน 15 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีคุณภาพน้ำในแม่น้ำแม่กก ลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน มีการตรวจพบโลหะหนัก และบางจุดมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งตามมาตรฐานประเทศไทยกำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานสูงสุดที่เทียบได้กับค่าน้ำดื่ม และมีการเผยแพร่ข่าวว่า รัฐบาลพยายามผลักดันการแก้ปัญหาจากปรับค่าสารหนู จาก 0.01 มก./ล.เป็น 0.05 มก./ล. ตามมาตรฐานประเทศ จีน มาเลเซีย เวียดนาม และอีกหลายประเทศที่ใช้ รวมถึงตรงกับมาตรฐานของเมียนมา ที่ป็นต้นเหตุและที่มาของแหล่งน้ำที่ทำให้เกิดปัญหาสารหนูดังกล่าว นายสุชาติ กล่าวว่า ตนเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะปรับค่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.01 มก./ล.ไปเป็น 0.05 มก./ล. ตามที่เป็นข่าว และรัฐบาลพร้อมฟังเสียงจากประชาชนและทุกภาคส่วน พร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีความปลอดภัยในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพในพื้นที่ สภาพเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักเหมือนเดิม ทั้งนี้ การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นการสร้างเกณฑ์เพื่อควบคุมมลพิษ และปกป้องระบบนิเวศ ให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน การกำหนดมาตรฐานจะช่วยลดผลกระทบจากมลพิษต่อสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติและสุขภาพของประชาชน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมให้มีความสมดุล ซึ่งรัฐบาลมีความเข้าใจ และจะสนับสนุนการดำเนินทุกอย่าง ทั้งจะออกมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน นายสุชาติ กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * สารหนู * แม่น้ำกก * แม่น้ำสาย
15.11.2025 07:45 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
'อนุทิน' เผยโทรศัพท์พูดคุย ‘ทรัมป์-อันวาร์' ปมความขัดแย้งไทย-กัมพูชา 'อนุทิน' เผยโทรศัพท์พูดคุย ‘ทรัมป์-อันวาร์' ปมความขัดแย้งไทย-กัมพูชา auser15 Sat, 2025-11-15 - 13:52 'อนุทิน' เผยโทรศัพท์พูดคุย ‘ทรัมป์-อันวาร์' ปมความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พร้อมย้ำจุดยืนฝั่งไทย ขอให้ผู้นำ 2 ประเทศ แจ้ง ‘ฮุน มาเนต’ ให้เคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด - เผย ปธน.สหรัฐฯ จะคุยกับกัมพูชา หากหาข้อตกลงเคลียร์ทุ่นระเบิดได้ จะพิจารณาลดภาษีให้ไทยมากกว่านี้ - 'ฮุน มาเนต' เผยต่อสาย 'ทรัมป์' ย้ำยึดแนวทางสันติภาพไทย-กัมพูชา 15 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า  “เมื่อคืนนี้ผมได้รับโทรศัพท์จากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย และประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรั้มป์ ซึ่งทั้งสองท่านได้พูดคุยหารือกับผมเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลไทยยังคงดำรงเป้าหมายการสร้างสันติภาพตามแนวทางที่ได้ลงนามในปฎิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ต่อไป และผมก็ได้แสดงจุดยืนของรัฐบาลไทยซึ่งพอสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้ 1. ผมได้ขอบคุณทุกคำแนะนำ และรับฟังความเห็นของผู้นำทั้งสองท่านในฐานะที่เป็นพยานในปฏิญญาดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกันกับข้อมูลที่หน่วยงานความมั่นคงของไทยมีอยู่ในการไปดำเนินการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมจากการเกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดและละเมิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในปฏิญญา 2. ผมได้แจ้งให้พยานทั้งสองท่านทราบว่า ผู้ร่วมสังเกตการณ์จากหลายประเทศได้เข้าไปทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ได้ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดทั้งสี่ทุ่นเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการลักลอบเข้ามาวางในเขตพื้นที่ของไทยหลังจากที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แล้ว 3. ผมได้ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะระงับการดำเนินการภายใต้เนื้อหาที่ระบุไว้ในปฏิญญาจนกว่ากัมพูชาจะยอมรับว่า ตนมิได้ปฏิบัติตามและได้ละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว และต้องมีคำแถลงขอโทษต่อประชาชนชาวไทยในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูมะเขือซึ่งได้ทำให้ทหารของไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ 4. ผมได้ย้ำว่า รัฐบาลไทยทรงไว้ซึ่งสิทธิและมีอำนาจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆที่พึงจะกระทำเพื่อปกป้องประเทศและประชาชนให้พ้นจากภัยคุกคามของต่างชาติ 5.  ผมได้เรียกร้องให้ผู้นำของทั้งสองประเทศในฐานะที่เป็นสักขีพยานในปฏิญญาดังกล่าวให้ทำการแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาให้เคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดและมีความจริงใจต่อประเทศทั้งสี่ที่ได้ร่วมกันลงนามในปฏิญญาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ขอให้ผู้นำทั้งสองรัฐได้เน้นย้ำต่อผู้นำรัฐบาลกัมพูชาว่า จะต้องไม่มีการขัดขวางใดๆ ของฝ่ายกัมพูชาต่อการเข้าไปเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกองทัพไทยเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งได้มีการกำหนดพิกัดและพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 6. ผมได้แจ้งต่อท่าน ปธน. สหรัฐ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่าการที่กัมพูชาไม่เคารพต่อปฏิญญาและไม่ยอมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ และต้องสูญเสียอวัยวะในครั้งนี้จะทำให้ประชาชนชาวไทยหมดความมั่นใจและความเชื่อถือต่อรัฐบาลกัมพูชาซึ่งจะยังผลให้การดำเนินการที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง 7. ผมได้ยืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกชาติ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็ไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อไปกับเพื่อนบ้านที่ไม่มีความจริงใจ และคอยคุกคามอธิปไตยของไทยอยู่ตลอดเวลา 8. ผู้นำทั้งสองท่านได้รับทราบจากผมว่ารัฐบาลไทยและพี่น้องประชาชนชาวไทยมีความเสียใจและผิดหวังต่อเหตุร้ายแรงที่ได้เกิดขึ้น เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยก็เคยให้ความช่วยเหลือ ให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพหนีภัยสงครามชาวกัมพูชาด้วยความปรารถนาดีและด้วยความมีมนุษยธรรม จึงไม่คาดคิดว่ารัฐบาลกัมพูชาจะกระทำตนเป็นปฏิปักษ์และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยและยังได้ทำร้ายคนไทยได้ถึงระดับนี้ 9. ผมได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยไม่เคยมีเจตนารุกรานกัมพูชา แต่มีความพร้อมที่จะดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติและเพื่อสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในทุกวิถีทาง 10. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ถามผมว่าเรื่องการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ มีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งผมได้เรียนท่านไปว่าอยากจะขอให้ท่านได้ลดอัตราภาษีให้กับประเทศไทยมากกว่านี้ ซึ่งท่านได้ตอบมาอย่างอารมณ์ดีว่า ในอัตรา 19% ที่ไทยได้รับ ถือว่าต่ำมากนะ ผมก็ได้พูดกับท่านว่า หากต่ำจริงผมคงไม่เดินไปขอท่านที่เกาหลีใต้ให้ลดลงอีก เพราะประเทศไทยก็ได้ให้ความร่วมมือในทุกๆ ด้านกับสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดี ขอให้ท่านได้ให้หน้าผมบ้าง ท่านได้ตอบกลับมาว่า ท่านจะไปคุยกับทางกัมพูชา ซึ่งหากกัมพูชาไม่ขัดขวางการถอนทุ่นระเบิดของไทย แล้วฝ่ายไทยสามารถดำเนินการเร่งถอนทุ่นระเบิดได้อย่างรวดเร็ว ประธานาธิบดีสหรัฐจะพิจารณาให้มีการปรับลดภาษีให้มากกว่านี้ ท่านพูดกลับมาในท่วงทำนองเท่าที่ผมจำได้ว่า “If you do the demining works quickly, I’ll consider chopping more percentage for you.” อาจจะไม่ตรงทุกคำศัพท์ แต่ก็อยู่ในโทนนี้ครับ   11. ท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียก็บอกว่าจะเร่งทำเอกสารในนามประธาน ASEAN เพื่อย้ำความเข้าใจและให้ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในปฏิญญาอย่างเคร่งครัดต่อไป "ก่อนวางสาย ทั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ขอให้ผมส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนซึ่งผมได้กล่าวขอบคุณทั้งสองท่านไปในขณะเดียวกัน ผมกราบขออภัยพี่น้องประชาชนที่อาจจะส่งข้อความนี้ล่าช้าไปเล็กน้อยเนื่องจากกำลังปฎิบัติภารกิจที่สำคัญยิ่งที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” นายอนุทิน กล่าว 'ฮุน มาเนต' เผยต่อสาย 'ทรัมป์' ย้ำยึดแนวทางสันติภาพไทย-กัมพูชา Thai PBS รายงานว่า ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีทรัมป์สหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทยต่อไป ฮุน มาเนตขอบคุณทรัมป์สำหรับการริเริ่มที่นำไปสู่การหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยและการบรรลุถ้อยแถลงร่วมที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ พร้อมย้ำว่ากัมพูชายังยึดมั่นตามถ้อยแถลง และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะยังคงทำงานร่วมกันต่อไปตามหลักการและกลไกทวิภาคีที่ตกลงกันไว้ ซึ่งรวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ฮุน มาเนต ระบุด้วยว่าผู้นำสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าอยากเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างกัมพูชาและไทย และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ได้เกิดการปะทะกันอีก ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังสื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานอ้างทำเนียบขาวว่า ผู้นำสหรัฐฯ ต่อสายพูดคุยกับฝ่ายไทยและกัมพูชาแล้วเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งรอบล่าสุดระหว่างทั้งสองประเทศ และประสานงานไปยังมาเลเซียด้วย "อันวาร์" คุย "ทรัมป์" ย้ำไทย-กัมพูชาพร้อมเจรจา อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่าได้ต่อสายพูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยตนยืนยันกับทรัมป์ว่าไทยและกัมพูชาพร้อมที่จะใช้การเจรจาและความพยายามทางการทูตเพื่อแก้ปัญหาชายแดนต่อไป นอกจากนี้อันวาร์ยืนยันว่าทั้งสองประเทศได้ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ชายแดนแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ได้ตกลงกันไว้ในถ้อยแถลงผลการหารือที่ลงนามร่วมกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ พร้อมทั้งยินดีกับบทบาทที่แข็งขันของทรัมป์ ซึ่งได้ติดต่อกับนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าความขัดแย้งใดๆ จะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อความมั่นคงและความปรองดองในภูมิภาค มาเลเซียหนุนกัมพูชาแก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ ทั้งนี้อันวาร์เปิดเผยด้วยว่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และได้แสดงความชื่นชมที่กัมพูชายังคงเลือกใช้แนวทางสันติและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา มาเลเซียสนับสนุนจุดยืนของกัมพูชาอย่างเต็มที่ในการใช้ช่องทางที่กัมพูชาและไทยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ และสนับสนุนแนวทางตามถ้อยแถลงที่ทั้งสองฝ่ายลงนามร่วมกัน พร้อมย้ำว่ามาเลเซียจะยังคงทำหน้าที่เป็นผู้อํานวยความสะดวกที่เป็นกลางและมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยให้สองประเทศบรรลุทางออกที่ยั่งยืน ด้านฮุน มาเนต ระบุว่าใช้โอกาสดังกล่าว แสดงความขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังคงมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกและแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาระหว่างกัมพูชาและไทยอย่างสันติ พร้อมย้ำจุดยืนของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี เพื่อยุติความขัดแย้งและสร้างสันติภาพระหว่างสองประเทศ กัมพูชายันพลเรือนเสียชีวิตจริงเหตุขัดแย้งรอบล่าสุด ด้านสำนักข่าวขแมร์ ไทม์ สื่อกัมพูชา รายงานว่ากระทรวงมหาดไทยกัมพูชาออกแถลงการณ์โต้การรายงานข่าวของสื่อไทย ที่ระบุว่าไม่มีพลเรือนชาวกัมพูชาเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเปรยจันเมื่อวันพุธ (12 พ.ย.2568) ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยกัมพูชายืนยันว่าทหารไทยเปิดฉากยิงใส่พลเรือนกัมพูชาด้วยปืนไรเฟิล ทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 3 คน พร้อมทั้งระบุว่าผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชพบบาดแผลขนาด 5 มิลลิเมตรบริเวณศีรษะของผู้เสียชีวิต และแผลฉีกขาดขนาด 2 คูณ 3 เซนติเมตรที่หน้าอกด้านซ้าย โดยกระสุนเจาะเข้าลำตัวจากฝั่งซ้ายไปขวา นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การผ่าตัดกระสุนออกจากร่างผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือเอโอที และยืนยันว่าเป็นกระสุนขนาด 5.7 มิลลิเมตร กัมพูชาโต้กองทัพบกไทยแชร์ภาพ AI ด้านเนตร พักตรา รัฐมนตรีสารสนเทศกัมพูชาแชร์โพสต์จากเพจทีมโฆษกกองทัพบก ซึ่งโพสต์ภาพ 1 ในผู้บาดเจ็บที่อ้างว่าถูกกระสุนปืนของทหารไทย นอนยิ้มบนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล รัฐมนตรีสารสนเทศกัมพูชา ระบุว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพ AI พร้อมแนบภาพอีกภาพหนึ่ง โดยระบุว่าภาพนี้คือภาพจริง นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าบทเรียนสำหรับโฆษกกองทัพบกไทย คือตรวจสอบก่อนพูด สถาบันทหารที่มีความรับผิดชอบจะไม่รีบเร่งสร้างข้อกล่าวอ้างหรือปฏิเสธด้วยอารมณ์โดยไม่มีหลักฐาน และเมื่อโฆษกตอบโต้ก่อนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริง นั่นไม่ได้ปกป้องประเทศชาติ แต่กลับทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสียชื่อเสียง รัฐมนตรีสารสนเทศกัมพูชาโพสต์ตอบโต้โฆษกกองทัพบกไทยอีกหลายโพสต์ด้วยกัน รวมถึงประเด็นที่โฆษกกองทัพบกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเผาศพพลเรือนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเปรยจัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ว่าอาจดูเหมือนมีจุดประสงค์เพื่อปกปิดหรือบิดเบือนหลักฐาน   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * อนุทิน ชาญวีรกูล
15.11.2025 07:00 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ฟื้น ‘พูดคุยสันติภาพไทย-BRN’ เริ่ม ธ.ค. 68 เน้นฟังประชาชน ปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ และแก้ปัญหายาเสพติด ฟื้น ‘พูดคุยสันติภาพไทย-BRN’ เริ่ม ธ.ค. 68 เน้นฟังประชาชน ปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ และแก้ปัญหายาเสพติด มูฮำหมัด ดือราแม : รายงาน auser15 Sat, 2025-11-15 - 12:52 สภาความมั่นคงมาเลเซียแถลงผลการหารือฝ่ายไทยว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจะดำเนินกระบวนพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับขบวนการ BRN ต่อในเดือนธันวาคม 2568 นี้ โดยจะเน้นฟังเสียงของประชาชน การปกป้องชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และแก้ไขปัญหายาเสพติด จับตายุทธศาสตร์ใหม่ BRN เดินหน้าสร้างสันติภาพ? สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของมาเลเซีย หรือ NSC Malaysia ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2025 ว่า รัฐบาลราชอาณาจักรไทย (RTG) และแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ยืนยันที่จะกลับมาเดินหน้ากระบวนการพูดคุยสันติภาพอีกครั้ง หลักจากหยุดชะงักไปเป็นปี โดยแถลงการณ์ระบุว่า ผู้แทนระดับสูงของไทย (RTG) และแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี หรือขบวนการ BRN (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani) ได้พบปะหารือนัดพิเศษที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจัดขึ้นโดย Datuk Haji Mohd Rabin bin Basir ผู้อำนวยความสะดวกรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับกระบวนการพูดคุยสันติภาพในชายแดนใต้ของไทย การพบปะเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างสรรค์ โดยทั้งสองฝ่ายมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะดำเนินพูดคุยสันติภาพทั้งในระดับทางการ และในระดับเทคนิคในเดือนธันวาคม 2025 สำหรับหลักการสำคัญที่ทั้งฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะต้องดำเนินการ มี 3 ประการ คือ  - การให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชน  - การปกป้องคุ้มครองชีวิตของผู้บริสุทธิ์ - ความจำเป็นในการแก้ไขปัญหายาเสพติด แถลงการณ์ระบุด้วย รัฐบาลมาเลเซียยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กระบวนการพูดคุยสันติภาพที่จะมีขึ้นในอนาคตดำเนินไปอย่างราบรื่น ครอบคลุม และเกิดผลอย่างแท้จริง ทั้งนี้ การพบปะหารือนักพิเศษดังกล่าว มีขึ้นเมื่อวันที่ 11 พ.ย.68 ที่ผ่านมา โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และพล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมคณะ เข้าพบ Datuk Haji Mohd Rabin bin Basir ผู้อำนวยความสะดวกรัฐบาลมาเลเซีย ที่กัวลาลัมเปอร์ จับตายุทธศาสตร์ใหม่ BRN เดินหน้าสร้างสันติภาพ ในส่วนของฝ่าย BRN แม้ยังไม่มีการสื่อสารใดๆ ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่คาดการณ์ได้ว่า กำลังรอการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยอย่างเป็นทางการจากฝ่ายไทยเช่นกัน แต่ก็มีข่าวว่าได้ประเมินในเบื้องต้นก่อนหน้านี้ว่า กระบวนการพูดคุยภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งมีระยะเวลาเพียง 4 เดือนอาจจะทำให้ไม่ได้ผลเป็นรูปธรรมหรือมีความคืบหน้าใดๆ มากนัก จึงคาดหวังกระบวนการพูดคุยในรัฐบาลใหม่หลักการเลือกตั้งมากกว่า อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลเชิงลึกระบุว่า ในระหว่างรอกระบวนการพูดคุยหลักรัฐบาลใหม่ ในระดับนำของ BRN มีการหรือถึงการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในทางการเมืองกับฝ่ายรัฐบาลไทย โดยยกเรื่องกระบวนการพูดคุยเป็นยุทธศาสตร์หลักแทนการใช้กำลังหรือก่อเหตุรุนแรงที่อาจส่งผลกระทบกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้ ประกอบกับในห้วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ติดตามสถานการณ์ชายแดนใต้จะเห็นข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊กที่วิพากษ์ขบวนการ BRN และตั้งคำถามถึงการต่อสู้ของ BRN ว่า ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ในสถานการณ์ปัจจุบัน หรือเป็นการต่อสู้ที่ล้มเหลวไปแล้ว เพราะการไม่ยอมปรับตัว รวมถึงการตั้งคำถามถึงเรื่องอุดมการณ์ โครงสร้างที่เป็นองค์กรลับ งานการทูต การยอมรับหลากหลาย บทบาทของคนรุ่นใหม่ ความเป็นเอกภาพ และหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร โดยข้อวิพากษ์และคำถามดังกล่าวก็ได้มีผู้ออกมาเขียนโต้แย้งอย่างเป็นเรื่องราวเพื่ออธิบายเหตุผลและความจำเป็นของ BRN แม้ไม่อาจระบุได้ว่าผู้เขียนเป็นใครก็ตาม ข้อวิพากษ์และคำถามดังกล่าว ในระดับนำของ BRN ก็ได้ครุ่นคิดในเรื่องเหล่านี้มาตลอด ซึ่งอาจได้ข้อสรุปมาแล้วระดับหนึ่งในปีกการเมืองของขบวนการ แต่โจทย์ใหญ่คือในปีกการทหารจะยอมรับการปรับตัวนั้นหรือไม่ และจะต้องทำอย่างไรเพื่อการดำเนินตามยุทธศาสตร์ใหม่ประสบความสำเร็จ จะต้องติดตามความชัดเจนต่อไป   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * BRN * มาเลเซีย * พูดคุยสันติภาพ * ชายแดนใต้
15.11.2025 05:57 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ผลสำรวจ 'ธำรงศักดิ์โพล' คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นแนวทางสันติวิธี แก้ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ผลสำรวจ 'ธำรงศักดิ์โพล' คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นแนวทางสันติวิธี แก้ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา auser15 Sat, 2025-11-15 - 12:13 'ธำรงศักดิ์โพล' สำรวจ 5,300 คน ส่วนใหญ่เชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธี คือวิธีการที่จะดีต่อประเทศมากที่สุด ในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา 15 พฤศจิกายน 2568 งานวิจัยส่วนบุคคลของ รองศาสตราจารย์ ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เก็บข้อมูลแบบสอบถามจากคนทั้งประเทศ จำนวน 5,300 คน เก็บแบบสอบถามระหว่าง 4-19 ตุลาคม 2568 โดยนักศึกษาปริญญาตรี-โท-เอก คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต 160 คน เก็บแบบสอบถามใน 53 จังหวัด 101 อำเภอและเขต 1. ข้อคำถามว่า “ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา ท่านคิดว่าควรแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใดที่จะดีต่อประเทศมากที่สุด” ผลการวิจัยพบว่า (มี 5,274 คนตอบคำถามข้อนี้)                             - เจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 32.69 (1,724 คน) - รบทำสงครามให้ถึงที่สุด  ร้อยละ  24.52 (1,293 คน) - ให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 19.74 (1,041 คน) - ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 23.05 (1,216 คน) ข้อมูลรายภาค  กรุงเทพฯ เจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 35.1 รบทำสงครามให้ถึงที่สุด ร้อยละ 28.1 ให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 19.5 ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 17.3 ภาคกลาง เจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 32.8 รบทำสงครามให้ถึงที่สุด  ร้อยละ  24.9 ให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 18.0 ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 24.3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 33.6 รบทำสงครามให้ถึงที่สุด ร้อยละ 21.1 ให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 20.9 ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 24.4 ภาคเหนือ เจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 29.0 รบทำสงครามให้ถึงที่สุด  ร้อยละ  20.1 ให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 26.5 ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 24.4 ภาคใต้ เจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 32.4 รบทำสงครามให้ถึงที่สุด  ร้อยละ  24.8 ให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 22.4 ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 20.4 ข้อสังเกต 1.แนวทางสันติวิธีคือการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ดีที่สุด รวมเจรจาตกลงกันทุกวิถีทาง ร้อยละ 32.69 และให้ศาลโลกตัดสิน ร้อยละ 19.74 รวมมีมากถึงร้อยละ 52.43 2. แม้ฝ่ายทหารและรัฐบาลไทยจะปฏิเสธการขึ้นศาลโลก และสื่อในสังคมไทยแทบจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ผลการสำรวจของประชาชนมีมากถึงร้อยละ 19.74 ที่ปรารถนาให้ศาลโลกตัดสินเพื่อยุติปัญหาอย่างแท้จริง 3. เสียงของคนกรุงเทพฯ ที่ให้รบทำสงครามให้ถึงที่สุด มีสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ คือ ร้อยละ  28.1 4. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด แนวคิดให้รบทำสงครามให้ถึงที่สุดอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ทั้งประเทศ คือมีเพียงร้อยละ  21.1 ส่วนใหญ่ปรารถนาให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างสันติวิธีทั้งด้วยการเจรจาและไปศาลโลก ข้อมูลสัมภาษณ์เชิงลึก   คำอธิบายของผู้เลือกวิธีการเจรจาแก้ไขปัญหากันทุกวิถีทาง ที่สำคัญได้แก่ การใช้กำลังอาวุธสงครามเพื่อครอบครองดินแดนไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ถาวร, การใช้กำลังอาวุธสงครามเพื่อครอบครองดินแดนไม่เป็นที่ยอมรับของโลกนานาชาติ, ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนเป็นปัญหามรดกอาณานิคมที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีปัญหาแบบเดียวกัน, การเจรจาแบบสองประเทศและแบบมีประเทศเป็นกลางเข้าร่วมเป็นการแก้ไขปัญหาที่สันติวิธี, การเจรจาเป็นการรักษาสันติภาพและการอยู่ร่วมกันของคนสองประเทศ, เราย้ายดินแดนออกจากกันไม่ได้, สันติภาพค้ำจุนโลก, สันติภาพคือหนทางความเจริญของชาติไทย, สันติภาพคือหลักการชาติประชาธิปไตย      คำอธิบายของผู้เลือกวิธีการให้ศาลโลกตัดสิน ที่สำคัญได้แก่ ไทยเป็นชาติเจริญแล้ว, หากดินแดนเป็นของเราจริงก็ให้ศาลโลกตัดสินให้เด็ดขาดจะได้ยุติปัญหาอย่างสิ้นเชิง, ศาลโลกมีขึ้นเพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างสันติวิธี, ไทยเราต้องกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง, การยุติปัญหาด้วยศาลโลกจะทำให้ไทยหันไปใช้เวลากับการพัฒนาประเทศแทนการหมกมุ่นปัญหาเขตแดนแบบเดิม ๆ       คำอธิบายของผู้เลือกวิธีการรบทำสงครามให้ถึงที่สุด ที่สำคัญได้แก่ ดินแดนตรงนั้นเป็นของไทยอย่างแน่นอน, ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยตลอดมา, ไทยมีกำลังรบเหนือกว่าดังนั้นควรยุติด้วยการรบให้เด็ดขาด ไทยควรสั่งสอนกัมพูชา, ไทยมีคนมากกว่ากัมพูชา, ไทยมีเศรษฐกิจที่ดีกว่ากัมพูชา, เราเสียดินแดนมาตลอด ควรยุติเรื่องนี้ได้แล้ว, เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว หมายเหตุ : งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยส่วนบุคคล ทัศนะจากงานวิจัยไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาใดๆ ทั้งสิ้น และขอบคุณเพื่อนอาจารย์และนักศึกษาทุกคนเป็นอย่างสูงที่ช่วยเหลือในการวิจัยครั้งนี้ * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ธำรงศักดิ์โพล * โพล
15.11.2025 05:16 — 👍 1    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
เสนอโอนเงินผ่าน Mobile Banking ต้องระบุตำแหน่ง ย้ำดูแลไม่กระทบสิทธิส่วนบุคคล เสนอโอนเงินผ่าน Mobile Banking ต้องระบุตำแหน่ง ย้ำดูแลไม่กระทบสิทธิส่วนบุคคล auser15 Sat, 2025-11-15 - 10:54 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เสนอโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร (Mobile Banking) ต้องระบุตำแหน่ง ย้ำดูแลไม่กระทบสิทธิส่วนบุคคล เว็บไซต์รัฐบาลไทยรายงานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตาม พ.ร.ก.ป้องกันและปรามปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาตรา 13 ครั้งที่ 9/2568 และการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 นายไชยชนก กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ มีการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รวมอยู่ด้วย โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วมการประชุม สำหรับประเด็นซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณา ได้แก่ การยกระดับการตรวจสอบและสกัดกั้นบัญชีม้านิติบุคคล ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในส่วนมาตรการ SIM Card ขณะนี้ กสทช. ได้นำมาตรการการจำกัดจำนวนซิมการ์ด ไม่เกิน 5 หมายเลขต่อบุคคล (รวมทุกค่าย) และมาตรการให้ตัวแทนจำหน่าย จะต้องมีการลงทะเบียนในระบบ Dip chip หรือแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยเทียบเท่า เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช. ขณะเดียวกันประชาชนที่ซื้อซิมการ์ดและลงทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้งานนั้น ขอให้เปิดใช้งานภายใน 60 วัน โดยหากเกินกำหนด จะต้องมายืนยันตัวตนซ้ำอีกครั้ง ด้านการปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตแนวชายแดน ภายหลังการตรวจสอบ พบว่ายังมีสัญญาณล้ำออกไปในชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน จำนวนประมาณ 100 จุด โดยแจ้งให้ผู้ให้บริการเครือข่าย (โอเปอเรเตอร์) แก้ไขภายใน 3 วัน ซึ่งหากพบมีสัญญาณล้ำออกไปอีก ให้พักใช้ใบอนุญาตตั้งสถานีฐานนั้นๆ และให้แก้ไขจนกว่าจะแล้วเสร็จ และจัดมาตรการดูแลไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยในระยะยาวจะต้องจัดทำแผนปรับปรุงโครงข่ายโทรคมนาคมแนวชายแดน ตามที่ กสทช.กำหนด ขณะที่มาตรการจำกัดการส่ง SMS และ e-mail แนบลิงก์ ของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานอื่นๆ และธนาคาร กระทรวงดีอี เตรียมนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย ยังได้เร่งบูรณาการข้อมูลบัญชี (Account Bureau) ระหว่างธนาคาร เพื่อการเฝ้าระวังและตรวจสอบการเปิดบัญชีของบุคคลที่มีความเสี่ยง รวมทั้งยกระดับการตรวจสอบเข้มข้นในกรณีของการเปิดบัญชีใหม่ ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเบื้องต้นในมาตรการใช้งาน Mobile Banking ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องเปิดการระบุตำแหน่ง (Location) ในการทำธุรกรรมการเงิน โดยมาตรการนี้จะต้องคำนึงถึงการไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีการจำกัดการเข้าถึงเฉพาะในขณะที่จะต้องใช้เป็นหลักฐาน เมื่อเป็นการก่อเหตุของสแกมเมอร์เท่านั้น ด้านมาตรการควบคุมดูแลแพลตฟอร์ม ได้มอบหมายให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) หารือเรื่องการยกระดับมาตรฐานการยืนยันตัวตน (KYC) ร่วมกัน รวมถึงการพิจารณาการออกกฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์ม โดยให้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อความเสียหายจากสแกมเมอร์ที่เกิดขึ้นกับประชาชน รวมทั้งมอบหมายให้มีการตรวจสอบคำนิยามของ “การโฆษณา” ในแพลตฟอร์ม หรือเว็บไซต์  Search Engine เพื่อดำเนินการกำหนดมาตรการป้องกันการค้าหา URLs ผอดกฎหมาย “มาตรการซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณานั้น ถือว่าเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญ เพื่อตัดการเชื่อมโยงช่องทางในการก่อเหตุของสแกมเมอร์ โดยคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญ คือการป้องกันไม่ให้สแกมเมอร์สร้างความเสียหายและผลกระทบแก่ประชาชน” นายไชยชนก กล่าว  * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * ไอซีที * อาชญากรรมไซเบอร์ * อาชญากรรมออนไลน์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * สแกมเมอร์ * Mobile Banking * บัญชีม้า
15.11.2025 04:00 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ตำรวจไทยประชุมร่วม 6 ประเทศที่จีน ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน ตำรวจไทยประชุมร่วม 6 ประเทศที่จีน ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน auser15 Sat, 2025-11-15 - 10:29 ตำรวจไทยประชุมร่วม 6 ประเทศ "จีน-ไทย-เมียนมา-เวียดนาม-ลาว-กัมพูชา" ที่จีน เน้นเรื่องมาตรการร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายที่เป็นฐานของสแกมเมอร์ การแบ่งปันข้อมูลด้านการข่าว และความร่วมมือในการบริหารจัดการ ควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมระหว่างประเทศ เพจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า  พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมาย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม The Six-Party Ministerial Meeting on Joint Crackdown against Telecom and Cyber Fraud among China, Myanmar, Thailand, Vietnam, Laos and Cambodia หรือการประชุมหัวหน้าหน่วยบังคับใช้กฎหมาย 6 ประเทศ เพื่อ ร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมโทรคมนาคมและอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน ในระหว่างวันที่ 13 - 15 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในคณะมีผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 นาย ตามคำเชิญของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน การประชุมดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ และเป็นการเสริมสร้างความพยายามของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ การประชุมครั้งนี้ประเทศที่เข้าร่วมประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน, ไทย, เมียนมา, เวียดนาม, ลาว และกัมพูชา โดยการประชุมจะเน้นหนักเรื่องมาตรการร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายที่เป็นฐานของสแกมเมอร์ การแบ่งปันข้อมูลด้านการข่าว และความร่วมมือในการบริหารจัดการ ควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมระหว่างประเทศ * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * ไอซีที * อาชญากรรมไซเบอร์ * อาชญากรรมออนไลน์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * จีน * สแกมเมอร์
15.11.2025 03:33 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
เคาะกรอบคณะยกร่าง รธน. 35 คน รับรองก่อนส่งรัฐสภาเลือก สูตร 20 หยิบ 1 เคาะกรอบคณะยกร่าง รธน. 35 คน รับรองก่อนส่งรัฐสภาเลือก สูตร 20 หยิบ 1 auser15 Sat, 2025-11-15 - 09:58 โฆษก กมธ.พิจารณาร่างแก้ไข รธน. เผยมติที่มาคณะ กมธ.ยกร่าง รธน. จากผู้สมัครที่มีประชาชนรับรอง 100 คน สมัครผ่าน กกต. พร้อมเปิดข้อมูลให้สาธารณะตรวจสอบ ก่อนส่งให้รัฐสภาใช้สูตรสมาชิก 20 คน เสนอชื่อได้ 1 คน เพื่อให้เกิดความหลากหลายทางอุดมการณ์ กรอบเวลาคัดเลือก 60 วัน ยืนยัน กระบวนการสะท้อนเสียงประชาชน ไม่เปิดทางพรรคใหญ่ผูกขาด สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า  นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐสภา นำทีมโฆษก นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ นายเอกพร รักความสุข แถลงความคืบหน้าการพิจารณาร่างกฎหมายว่า วานนี้ (13 พ.ย. 68) ที่ประชุม กมธ.เห็นชอบร่างมาตรา 256/5 ที่มา กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ให้มาจากการสมัครของประชาชนผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยผู้สมัครต้องมีประชาชนรับรองอย่างน้อย 100 รายชื่อ พร้อมยื่นเอกสารแสดงวิสัยทัศน์และอุดมการณ์ความยาว 1 หน้า เปิดเผยให้สาธารณชนตรวจสอบ ก่อนส่งรายชื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกของรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาจะใช้สูตร 20 หยิบ 1 คือให้สมาชิกรัฐสภา 20 คน รวมกลุ่มกันเสนอชื่อผู้สมัครได้ 1 คน เพื่อให้เกิดความหลากหลายของอุดมการณ์ในคณะยกร่างฯ หากไม่สามารถคัดเลือกได้ครบ 35 คน ให้ใช้วิธีที่สมาชิกรัฐสภา 10 คน เสนอชื่อเป็น 2 เท่าของจำนวนที่ยังขาด แล้วให้รัฐสภาลงมติด้วยเสียงมากกว่า 2 ใน 3 โดยกำหนดให้การคัดเลือกเสร็จภายใน 60 วัน และหากได้อย่างน้อย 33 คน (90%) ถือว่าสามารถเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ ส่วนประเด็นการรวมกลุ่มของสมาชิกรัฐสภา 20 คนนั้น มีหลักการจากการรวมตัวของสมาชิกรัฐที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งเป็นข้อดีเพราะทำให้คณะยกร่างมีความหลากหลาย และไม่ผูกติดกับพรรคการเมืองใดเพียงพรรคเดียว พร้อมยกตัวอย่างว่า แม้พรรคประชาชนจะได้ สส. 200 คน สามารถเสนอชื่อได้สูงสุด 10 คนจาก 35 คน จึงไม่สามารถครอบงำคณะยกร่างฯ ได้ ขณะที่ น.ส.พนิดา โฆษก กมธ. กล่าวว่ากระบวนการเลือกคณะผู้ยกร่างเป็นหลักการที่ตรงไปตรงมา และสะท้อนเสียงของประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้เลือก สส. ที่จะไปคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญแทนตนเอง และสำหรับสูตร 20 หยิบ 1 ยังช่วยคุ้มครองเสียงข้างน้อย แตกต่างจากสูตรที่ใช้เสียงข้างมาก  อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามย้ำว่า สูตร 20 หยิบ 1 อาจเปิดช่องให้พรรคใหญ่จัดตั้งกลุ่มได้ น.ส.พนิดาชี้ว่า หากพรรคประชาชนได้ 200 ที่นั่งและเสนอชื่อได้ 10 คน ถือเป็นการสะท้อนเสียงประชาชนอย่างตรงไปตรงมา เพราะประชาชนเลือกพรรคและผู้แทนมาเอง ไม่ใช่การล็อกโควตา แต่คือการส่งผ่านเจตนารมณ์ประชาชนให้ สส.ไปคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญแทน และสำหรับประเด็นนี้ นายนรเศรษฐ์ กล่าวเสริมว่า จากองค์ประกอบ 35 คน พรรคที่มี สส.จำนวนมากไม่สามารถถือเสียงข้างมากในกมธ.ยกร่างได้ จึงเป็นหลักประกันความหลากหลายและความสมดุลของตัวแทนจากหลายอุดมการณ์ อีกทั้งเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่าง ๆ จะนำเสนอนโยบายด้านรัฐธรรมนูญต่อประชาชนอย่างชัดเจน ทำให้การเลือกผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญในรัฐสภาเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ด้าน นายเอกพร โฆษก กมธ. กล่าวเพิ่มเติมถึงการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ยกร่าง ตามข้อเสนอของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ กมธ.จากพรรคประชาชน ที่เสนอให้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญถูกห้ามเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง 3 ปี และยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมจาก กมธ.บางรายให้ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดความสบายใจว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งนี้ ยืนยันว่าบรรยากาศการทำงานในคณะ กมธ.เป็นไปอย่างราบรื่น และไม่มีความขัดแย้งระหว่างตัวแทนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
15.11.2025 03:02 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
อดีต มทภ.4 ชี้ทางรอดไฟใต้ ยึดหลัก 'เมตตา' - แนะบุคลากรรัฐต้องลดพฤติกรรม 'เบ่ง' อดีต มทภ.4 ชี้ทางรอดไฟใต้ ยึดหลัก 'เมตตา' - แนะบุคลากรรัฐต้องลดพฤติกรรม 'เบ่ง' auser15 Sat, 2025-11-15 - 09:44 'พลเอกพิเชษฐ์ วิสัยจร' อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ย้ำหัวใจการแก้ไขปัญหาความไม่สงบต้องเริ่มจาก 'จิตวิทยา' เพื่อ 'คลายใจ' ให้ฝ่ายตรงข้าม และยึดหลัก 'เมตตา' แนะบุคลากรรัฐต้องลดพฤติกรรม 'เบ่ง' ขอรัฐบาลคัดคนที่มีความรู้ความสามารถ-ไม่มีผลประโยชน์ มาทำงาน สทท.ยะลา รายงานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า กอ.รมน.ภาค 4 สน.จัดงานปฐมนิเทศผู้บังคับหน่วยระดับผู้บังคังกองร้อย พลเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ร่วมถ่ายทอดกลยุทธ์สำคัญต่อกำลังพลย้ำหัวใจการแก้ไขปัญหาความไม่สงบต้องเริ่มจาก 'จิตวิทยา' เพื่อ 'คลายใจ' ให้ฝ่ายตรงข้าม แนะบุคลากรรัฐต้องลดพฤติกรรม 'เบ่ง' ชี้ผลพระราชดำริ 'เศรษฐกิจพอเพียง' ดึงประชาชนกลับจากมาเลเซีย เชื่อมั่น มทภ.คนปัจจุบัน ซึ่งเป็น 'ทหารเสือ' ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท จะสืบทอดหลัก 'เมตตา' ได้สำเร็จ พร้อมส่งสัญญาณเตือนภัยสิ่งแวดล้อม ระบุ 'น้ำเน่าเสีย' คือแหล่งกำเนิดก๊าซพิษที่เป็น 'ฉากกั้น' เร่งวิกฤตโลกร้อน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้จัดงานปฐมนิเทศผู้บังคับหน่วยถึงระดับผู้บังคังกองร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 มาร่วมถ่ายทอดแนวคิดเชิงกลยุทธ์และประสบการณ์ตรง ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก พลตรี ชาคริต อุจะรัตน รองแม่ทัพภาคที่ 4 และกลุ่มเครือข่ายมวลชน พลเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร ได้กล่าวถึงแก่นแท้ของการแก้ไขปัญหาความไม่สงบว่าไม่ใช่เพียงการใช้กำลัง แต่คือการใช้จิตวิทยาและยุทธศาสตร์ที่เฉียบคม "หัวใจของการรบไม่ได้อยู่ที่การใช้กำลังเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การวางแผนและจิตวิทยา" พร้อมย้ำหลักการสำคัญว่า "การรบกัน จะชนะหรือไม่ชนะ อยู่ที่การคลายใจ" พร้อมเน้นย้ำถึงหลักการปฏิบัติงาน 3 ประการ คือ ความเข้มแข็ง, ความเมตตาต่อประชาชน, และการทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยต้องใช้ความสมดุล โดยเฉพาะการเตือนเจ้าหน้าที่รัฐให้ลดพฤติกรรมแข็งกร้าว: "ทหารต้องเข้มแข็งแต่ว่าอย่ากระด้าง" นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาคัดเลือกบุคลากรอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถและความโปร่งใส "ผมอยากให้รัฐบาล หรือผู้ที่มีความรับผิดชอบ ดูคน เอาคนที่มีความรู้ความสามารถนะ แล้วก็ไม่มีผลประโยชน์ลงมาทำงาน " พร้อมกันนี้ ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐในอดีต โดยเตือนถึงพฤติกรรมการใช้อำนาจหรือการ "เบ่ง" ทั้งทหารและฝ่ายปกครอง โดยระบุว่า ทหารเราพวกน้อง ๆ เราชอบเบ่ง พูดกับชาวบ้าน บางทีพูดไม่น่าฟัง ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ อดีตแม่ทัพฯ ระบุว่า แนวทางที่สำคัญที่สุดคือการสืบสานพระราชดำริ "อยู่มีกิน" ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และหลัก "เศรษฐกิจพอเพียง" ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเห็นผลชัดเจนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก "เมื่อก่อนเขาต้องไปหากินมาเล (มาเลเซีย) พอหลังจากที่ทำเศรษฐกิจ (เศรษฐกิจพอเพียง) ก็ยังจำได้นะ กลับมาเลย" อีกทั้งยังเสนอแนะแนวทางการพัฒนาอาชีพต้นทุนต่ำที่เข้าถึงง่ายและยั่งยืน เช่น สอนวิธีแก้ไขปัญหา "ยางหน้าตาย" และ "น้ำยางไม่ค่อยไหล" ด้วยเทคนิค "อินทรีย์ทำ" EM บอล ใช้ จุลินทรีย์ ในการย่อยสลายซากพืชเพื่อฟื้นฟูที่นาร้างตามพระราชดำริ ซึ่งเป็นวิธีที่ "ถูกต้องมาก" และยังได้กำชับผู้บังคับกองร้อยให้ "ทำงานมวลชน" ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และใช้กีฬา กิจกรรมเป็นเครื่องมือทำให้สถานการณ์ "สงบ" ได้ พลเอก พิเชษฐ์ฯ ยังแสดงความเชื่อมั่นต่อแม่ทัพภาคที่ 4 คนปัจจุบัน โดยเปิดเผยถึงสายสัมพันธ์ทางทหารและการถวายงานเบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด "ตอนนี้แม่ทัพคนมาใหม่ พวกเราก็จะรับใช้สมเด็จพระนางเจ้า (พระบรมราชินีนาถ) มาเยอะ ใกล้ชิด ท่านเสด็จไปไหนพวกเราจะไป เพราะเราเป็นทหารเสือ... แล้วก็เขาเข้าใจ" พร้อมย้ำว่า แม่ทัพคนปัจจุบันยึดมั่นในหลักการ "ต้องให้ความเมตตา" ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการปฏิบัติงานของกำลังพล และสามารถคลี่คลายสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จริง * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * ชายแดนใต้ * พิเชษฐ์ วิสัยจร
15.11.2025 02:48 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
'คณะก่อการล้านนาใหม่' เรียกร้องร่าง รธน.ฉบับใหม่ ผ่าน สสร. ที่มาจากประชาชน 'คณะก่อการล้านนาใหม่' เรียกร้องร่าง รธน.ฉบับใหม่ ผ่าน สสร. ที่มาจากประชาชน auser15 Sat, 2025-11-15 - 09:21 'คณะก่อการล้านนาใหม่' เรียกร้องให้ประชาชน 17 จังหวัดภาคเหนือ มีส่วนร่วม ‘ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่’ ผ่าน สสร. ที่มาจากประชาชน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เพจคณะก่อการล้านนาใหม่ - NEO LANNA เผยแพร่ แถลงการณ์ต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ระบุว่า เราทุกคนในสังคมมีความฝัน มีความหวังที่หล่อเลี้ยงชีวิตและจิตวิญญาณ แต่กลับถูกพวกผู้มีอำนาจกัดกร่อนความหวัง ขโมยความฝันของเราไป ฝันที่เราอยากเห็นเด็ก เห็นเยาวชนมีการศึกษาที่ดี ฝันที่เราอยากเห็นพี่น้องชาติพันธุ์ได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอกับคนในเมือง ฝันที่เราอยากเห็นโครงการพัฒนาที่เห็นหัวชุมชน เคารพธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ฝันที่เราอยากเห็นสังคมที่มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่าเส้นแบ่งเขตแดน ฝันที่เราอยากเห็นชุมชนดั้งเดิมอยู่กับดิน น้ำ ป่า ได้โดยไม่ถูกตีตราว่าเป็นผู้บุกรุก ฝันที่เราอยากมีเสรีภาพในการแสดงออกโดยไม่ถูกกฎหมายปิดปาก ฝันที่เราทุกคนสามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้ และฝันที่เรา ‘ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ’ จะเป็นผู้เขียนสัญญาประชาคมของประเทศนี้ได้ รัฐธรรมนูญที่ควรเอื้อให้เราฝัน ให้เราหวัง ให้เราจินตนาการ กลับถูกรัฐใช้เป็นเครื่องมือสถาปนาอำนาจตน โดยที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการนั้นเลย และทุกความฝันของเราคงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ภายใต้สังคมที่ถูกกำหนดทิศทางโดยรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่ยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมาขีดเขียนลู่ทางที่จะพาความฝันเราให้เกิดขึ้นได้จริง เราจึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ให้ประชาชน 17 จังหวัดภาคเหนือ ร่วม ‘ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่’ ผ่านสสร.ที่มาจากประชาชน 2. ให้รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องเร่งดำเนินการทำคำถามประชามติ และต้องกำหนดช่วงเวลาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ชัดเจน และกระบวนการทำประชามติต้องโปร่งใส เปิดกว้างต่อประชาชน 3. ต้องรับข้อเสนอที่มาจากเจตนารมณ์ของคนเหนือโดยไม่มีเงื่อนไข *ภาพปกประกอบข่าวจาก Lanner  * ข่าว * การเมือง * คณะก่อการล้านนาใหม่ * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ * สสร.
15.11.2025 02:25 — 👍 0    🔁 2    💬 0    📌 0
Preview
จีนสั่งประหาร 'ตระกูลไป๋' แก๊งสแกมเมอร์ใหญ่แห่งโกก้าง จีนสั่งประหาร 'ตระกูลไป๋' แก๊งสแกมเมอร์ใหญ่แห่งโกก้าง auser15 Sat, 2025-11-15 - 08:58 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลจีนได้สั่งตัดสินประหารชีวิตชาวจีนโกก้าง 'ตระกูลหมิง' ข้อหาพัวกันแก๊งคอลเซนเตอร์ ต่อมา เมื่อไม่นานนี้ศาลจีนก็ได้ตัดสินประหารชีวิต 'ไป๋สัวเฉิง' อดีตประธานเขตปกครองตนเองโกก้างผู้เคยทำงานให้กองทัพพม่า และลูกชายของเขา 'ไป๋หยิงชาง' รวมกับจำเลยอีก 2 ราย ในหลายข้อหาเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินงานศูนย์สแกมเมอร์ทางตอนเหนือของรัฐฉาน โดยที่แก๊งตระกูลไป๋เคยเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือทหารพม่ามาตั้งแต่เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ภาพจาก: CCTV 13 (อ้างใน SHAN News)  ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ได้ตัดสินประหารชีวิตอดีตผู้นำโกก้าง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าบริหารงานแก๊งสแกมเมอร์มาเป็นเวลายาวนานในเขตปกครองตนเองโกก้าง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน ศาลได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิต ไป๋สัวเฉิง อดีตประธานเขตปกครองตนเองโกก้าง และ ไป๋หยิงชาง ลูกชายของเขา ในข้อหาเกี่ยวกับเครือข่ายแก๊งอาชญากรรมที่ทำเป็นครอบครัว มีการกระทำผิด 12 ข้อหาใหญ่ โดยมีตั้งแต่ ข้อหาฉ้อโกงเป็นกิจธุระ ข้อหาค้ามนุษย์ ไปจนถึงข้อหาเจตนาฆ่า นอกจากนี้ยังมีการตัดสินลงโทษจำเลยอีก 2 รายคือ หลี่ฝูโส่ว และ หลี่จื้อเต๋อ ด้วยโทษประหารชีวิต โดยรอลงอาญา 2 ปี ซึ่งถ้าหากไม่มีการกระทำความผิดซ้ำระหว่างรอลงอาญาก็จะได้รับการลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้ยังมีจำเลยอีก 5 รายที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต มีจำเลยคนอื่นๆ อีก 9 รายที่ได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 3-20 ปี พร้อมกับโทษปรับ, ยึดทรัพย์ และเนรเทศออกจากประเทศ เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ศาลจีนสั่งประหารสมาชิก 'ตระกูลหมิง' มีส่วนพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในคำตัดสินของศาลระบุอีกว่า ไป๋สัวเฉิง และลูกชายของเขาได้เป็นผู้นำแก๊งอาชญากรรมที่มีกิจการขนาดใหญ่โดยมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองของครอบครัวไป๋ ในการครอบงำโกก้าง ในตอนที่ไป๋ทำหน้าที่เป็นประธานเขตปกครองตนเองโกก้างภายใต้สภากองทัพพม่า ไป๋ได้ถูกกล่าวหาว่าให้การคุ้มกันความปลอดภัยแก่แหล่งหลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์ หรือที่เรียกว่าศูนย์สแกมเมอร์ รวม 41 แห่ง ซึ่งเปิดทางให้ชาวสัญชาติจีนหลายพันรายเข้ามาใช้พื้นที่เหล่านี้ในการสแกมหลอกลวงผู้อื่นทางออนไลน์ แก๊งอาชญากรรมครอบครัวไป๋เผชิญข้อกล่าวหาในเรื่องการเอื้ออำนวยให้มีการข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย การดำเนินงานศูนย์สแกมเมอร์ การลักพาตัว การทารุณกรรม และการฆาตกรรม ซึ่งนำไปสู่กรณีการเสียชีวิตของชาวสัญชาติจีน 6 ราย มีรายหนึ่งที่ฆ่าตัวตาย รวมถึงทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย มีกรณีการหลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์มากกว่า 30,000 กรณี ทำให้เกิดการสูญเสียเกินกว่า 29,000 ล้านหยวน (ราว 133,000 ล้านบาท) นอกจากนี้ ไป๋หยิงชาง ยังถูกดำเนินคดีในเรื่องสมรู้ร่วมคิดในการผลิตและส่งขายยาบ้า 11 ตัน ด้วย กองทัพพม่าได้ส่งตัวกลุ่มอาชญากรครอบครัวไป๋สัวเฉิงให้กับทางการจีนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 9 ราย โดยมีการเริ่มเปิดพิจารณาคดีจำเลยเหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งมีการตัดสินคดีนี้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คำตัดสินในคดีนี้มีขึ้นหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรภราดรภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า หนึ่งในนั้นมีกองกำลังโกก้าง MNDAA รวมอยู่ด้วย ได้เริ่มปฏิบัติการ 1027 ซึ่งพวกเขาบอกว่าเป็นปฏิบัติการที่จะปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่มาประกอบอาชญากรรมไซเบอร์สแกมในพื้นที่ หลังจากนั้นกลุ่มแก๊งอาชญากรรม 4 ตระกูลที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่อย่าง ไป๋,  เว่ย, หมิง และหลิว ซึ่งต่างก็เป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่ามายาวนาน ต่างก็ถูกดำเนินคดีในประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า กองทัพพม่าได้ส่งตัวตระกูลไป๋ให้กับทางการจีนหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรกองกำลังชาติพันธุ์ฝ่ายต่อต้านได้กล่าวหากองทัพพม่าว่าให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องสงสัย โดยที่ทั้งไป๋สัวเฉิงและไป๋หยิงชาง ต่างก็มีสายสัมพันธ์กับหัวหน้าผู้นำเผด็จการทหาร มินอ่องหล่าย ไป๋สัวเฉิง เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจอาชญากรรมในโกก้างมาตั้งแต่ปี 2552 ในตอนนั้นเขาได้หันไปเข้ากับฝ่ายเผด็จการทหารในการต่อสู้กับตระกูลเปงเพื่อที่จะยึดครองโกก้าง ผลก็คือมันทำให้เขาได้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่แทนกลุ่มติดอาวุธโกก้าง MNDAA เปิดทางให้ไป๋สัวเฉิงสร้างเขตโกก้างกลายเป็นจักรวรรดิ์สแกมเมอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย หลังจากที่จีนเริ่มเอาจริงกับการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์เพราะมีพลเมืองของตัวเองตกเป็นเหยื่อในอาชญากรรมเหล่านี้ ทางการจีนก็เริ่มกดดันให้พม่าส่งตัวผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนในแก๊งอาชญากรรมของศูนย์สแกมเมอร์ให้กับพวกเขา และเมื่อเดือน กันยายน ที่ผ่านมา ศาลจีนก็ได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตแก๊งอาชญากรตระกูลหมิงและพรรคพวกคนอื่นๆ รวม 16 ราย ซึ่งมีศูนย์สแกมในเขตโกก้างเช่นเดียวกัน ทำให้คดีตระกูลไป๋กลายเป็นคดีที่สองแล้วที่ถูกตัดสินลงโทษโดยทางการจีนในกรณีที่เกี่ยวกับสแกมเมอร์ เรียบเรียงจาก China Sentences Kokang Leaders to Death Over Cyber Scam Crimes, SHAN, 07-11-2025 China Sentences Ex-Kokang Leader, Four Others to Death for Myanmar Scam Empire, The Irrawaddy, 04-11-2025   * ข่าว * ต่างประเทศ * จีน * พม่า * ตระกูลไป๋ * โกก้าง * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * สแกมเมอร์
15.11.2025 02:03 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
กต. ย้ำส่งหนังสือประท้วงกัมพูชา 2 ฉบับ ละเมิดข้อตกลง-ยั่วยุ ชี้ระงับ Joint Declaration ไทยไม่เสียเปรียบ กต. ย้ำส่งหนังสือประท้วงกัมพูชา 2 ฉบับ ละเมิดข้อตกลง-ยั่วยุ ชี้ระงับ Joint Declaration ไทยไม่เสียเปรียบ auser15 Sat, 2025-11-15 - 08:45 โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงความคืบหน้าหลังพา AOT ลงพื้นที่ห้วยตามาเรีย-บ้านหนองหญ้าแก้ว จะเปิดเผยรายงานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะ AOT ย้ำส่งหนังสือประท้วงกัมพูชา 2 ฉบับ พร้อมเวียนหนังสือถึงทูตทุกประเทศ ละเมิดข้อตกลง-ยั่วยุ 3 เหตุการณ์ บิดเบือนไร้ข้อมูลหลักฐาน มองระงับข้อตกลงสันติภาพไม่กระทบปราบสแกมเมอร์ ชี้ระงับ Joint Declaration ไทยไม่เสียเปรียบ ย้อนถามมีนายกประเทศไหนจะไม่ตอบโต้ ลั่นหากยังปฏิบัติตามฝ่ายเดียวถือว่าแปลก เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยระบุเมื่อเช้าวันนี้ (14 พ.ย.) ได้มีการบรรยายสรุปให้แก่ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงมีการชี้แจงเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว และการออกข่าวบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งในการถาม-ตอบหลังการบรรยายสรุป สะท้อนให้เห็นว่า ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธยิงเข้ามาทางฝั่งไทยก่อน ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องหลบเข้าที่กำบังและยิงแจ้งเตือนเพื่อเป็นการปกป้องอธิปไตยและป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นไปตามกฎการใช้กำลังและกฎหมายระหว่างประเทศ และที่สำคัญทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อคำกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชาว่าการตอบโต้ของฝ่ายไทยส่งผลให้มีพลเรือนบาดเจ็บจริงหรือไม่ ซึ่งในการบรรยายสรุป รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมบรรยายด้วย สะท้อนถึงการทำงานที่เป็นเอกภาพของหน่วยงานไทยและได้ให้ข้อมูลการดำเนินการของไทยในกรอบสัญญา รวมถึงการให้ข่าวที่ผิดพลาดของสำนักข่าวต่างประเทศรายหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดเมื่อเช้านี้ ประเด็นที่สอง กองบัญชาการกองทัพไทย จัดให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้ง 2 พื้นที่ ได้แก่ ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศมีผู้แทนเข้าร่วมด้วย ในการลงพื้นที่คณะ AOT ได้ไปยังพื้นที่ไปยังบริเวณห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็นจุดที่ทหารไทยประสบเหตุ ดูชิ้นส่วนทุ่นระเบิดที่ระเบิดแล้วและทุ่นระเบิดใหม่จำนวน 3 ทุ่น ส่วนที่บ้านหนองหญ้าแก้วคณะ AOT ได้เข้าตรวจบังเกอร์ของไทยที่ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธยิง พูดคุยกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยได้รับฟังการบรรยายจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรง ประเด็นที่สาม กระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงในการเดินหน้าชี้แจงประชาคมระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ต่างประเทศรับทราบข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทย หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาละเมิดถ้อยแถลง (Joint Declaration) ระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไทยจะไม่เคารพและปฏิบัติตามถ้อยแถลง เพราะบางประเด็นในเอกสารฉบับนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยผลักดันอย่างเข้มแข็งและแข็งขันมาโดยตลอด แต่กัมพูชาละเมิดอย่างชัดเจน โดยการลอบวางระเบิดใหม่และสร้างสถานการณ์ยั่วยุ และใช้อาวุธยิงเข้ามาในไทยก่อน อย่างไรก็ตามไทยยังเดินหน้าเรื่องที่ไทยให้ความสำคัญ เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทยและการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งนอกและในภูมิภาค ซึ่งไทยได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว เราจะติดตามความเอาจริงเอาจังของฝ่ายกัมพูชาในการปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้อย่างใกล้ชิด นายนิกรเดช ยังกล่าวว่า ต่อเหตุการณ์การวางระเบิดและการยิงเข้ามายังฝั่งไทยโดยฝ่ายกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชาแล้ว 2 ฉบับ และส่งหนังสือชี้แจงไปยังทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยด้วย โดยการลอบวางทุ่นระเบิด ไทยได้มีหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาไปยังประเทศญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาแล้ว และขอให้หนังสือดังกล่าวให้กับรัฐภาคีอนุสัญญาทราบ รวมทั้งส่งหนังสือประท้วงไปยังเลขาธิการสหประชาชาติในเรื่องนี้ นอกจากนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในฐานะพยานในการลงนามถ้อยแถลง เมื่อวานนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ข่าวสารนิเทศ เรื่องกัมพูชาละเมิดซ้ำต่อถ้อยแถลง ย้ำถึงความพยายามจัดฉากสร้างสถานการณ์ เผยแพร่ข้อมูลเท็จซ้ำแล้วซ้ำอีกของกัมพูชา สะท้อนถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการบรรลุสันติภาพร่วมกัน ประเด็นที่สี่คือ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ที่ผ่านมาฝ่ายไทยเห็นตัวอย่างการปล่อยข่าวปลอมและการบิดเบือน โดยไม่มีหลักฐานรองรับ 3 กรณี ได้แก่ 1.การกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายวางระเบิดเองและเหยียบเอง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดประเภท PMN-2 ซึ่งฝ่ายไทยไม่มีในครอบครอง ไม่มีทั้งเชิงหลักฐานและเชิงเหตุผล 2.ประเด็นที่สองกล่าวอ้างว่าฝ่ายไทยยิงไปที่บ้านหนองหญ้าแก้วก่อนไม่เป็นความจริง เพราะกัมพูชาเริ่มก่อนและมีหลักฐานเป็นกระสุนที่บังเกอร์ของไทย รวมถึงวิถีกระสุนคำให้การของกัมพูชาไกลความจริง ยังไม่นับกันรายงานสถิติประชาชนกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บจากหน่วยงานต่าง ๆ ของกัมพูชาที่สับสนและไม่มีความสอดคล้องกัน 3.การนำภาพร่างของผู้เสียชีวิตชาวกัมพูชาด้วยโรคประจำตัวที่กรุงเทพฯ บิดเบือนว่าเป็นร่างของทหารกัมพูชาที่ฝ่ายไทยควบคุมตัวไว้ ทั้งที่ความเป็นจริงฝ่ายไทยได้ให้ความช่วยเหลือส่งร่างกลับกัมพูชาตามคำขอของญาติตามหลักมนุษยธรรม การเผยแพร่ข้อมูลเท็จเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา และขาดจรรยาบรรณของสื่ออย่างชัดเจน นายนิกรเดช กล่าวว่า ล่าสุดกรณีที่มีสำนักข่าวต่างประเทศจากมาเลเซีย “เบอร์นามา” และสื่ออื่น ๆ ที่เผยแพร่ข่าวที่ผิดพลาด กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับหน่วยงานความมั่นคงของไทยอย่างใกล้ชิด และรีบดำเนินการติดต่อสำนักข่าวนั้น ๆ ฃเพื่อให้แก้ไขในทันที แม้จะมีการแก้ไขแล้วแต่ก็ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและผลกระทบในวงกว้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศได้หยิบยกหารือกับกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย และเขาได้สัญญาว่าให้ความร่วมมือด้วยดี อีกทั้งสำนักข่าวดังกล่าวก็ได้แสดงความเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งแล้ว ในห้วงที่สถานการณ์ไทย-กัมพูชามีความอ่อนไหวสูง ความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารที่มีการเผยแพร่ออกไป มีความสำคัญอย่างมากเพื่อไม่ให้เนื้อหาดังกล่าวไปสนับสนุนเรื่องเล่าที่เป็นจริงและปราศจากการตรวจสอบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังพยายามผลักดัน ขอย้ำว่ากระทรวงการต่างประเทศเป็นช่องทางที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นช่องทางที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันการไปรับข้อมูลที่บิดเบือน ตนเอง ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมตอบคำถามให้กับสื่อมวลชน นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า ในห้วงที่สถานการณ์มีความอ่อนไหวสูงเช่นนี้ ขอความร่วมมือประชาชนบริโภคข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวัง มีวิจารณญาณก่อนจะส่งต่อไปให้ทุกคนรอบข้าง ขอย้ำว่าหน่วยงานไทยทุกหน่วยจะทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันผลประโยชน์ของไทย ปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดน คุ้มครองผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน เสริมสร้างความเชื่อมั่นของไทยในประชาคมโลก เมื่อถามว่าภายหลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและระงับถ้อยแถลง ฝ่ายไทยได้แจ้งนานาชาติอย่างไรบ้าง นายนิกรเดช ระบุว่า ประเด็นการถอนอาวุธหนักและทหารกัมพูชาที่ถูกกักตัวอยู่ในไทย ต้องยุติไปพลางก่อนจนกว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งได้แจ้งประเทศผู้สังเกตการณ์อย่างมาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยได้มีการส่งหนังสือเวียนไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด รวมถึงแจ้งไปยังคณะทูตต่าง ๆ ถึงท่าทีไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ส่วนการเปิดเผยรายงานการลงพื้นที่ของคณะ AOT ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะ AOT ว่าเป็นเอกสารที่สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวไม่อาจก้าวล่วงได้ ส่วนการระงับข้อตกลง จะไม่กระทบกับการปราบสแกมเมอร์ ใช่หรือไม่นายนิกรเดช กล่าวว่า ท่าทีของไทยคือการปราบปรามสแกมเมอร์ และการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่อยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทย การปราบปรามสแกมเมอร์ถือเป็นวาระแห่งชาติ เราดำเนินการต่อเนื่องอย่างแน่นอนและจะดำเนินการอย่างแข็งขัน ในส่วนที่ต้องการความร่วมมือจากกัมพูชาก็หวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะให้ความร่วมมือ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มากกว่าไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องของภูมิภาค อาเซียน โลก และประชาคมระหว่างประเทศ ดังนั้นหากกัมพูชามีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ เรื่องนี้ก็ควรถูกแยกออกจากเรื่องชายแดน ย้ำว่ากระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการเต็มที่เนื่องจากเป็นวาระแห่งชาติ ชี้ระงับ Joint Declaration ไทยไม่เสียเปรียบ นายนิกรเดช ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีการให้สัมภาษณ์ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย ที่ประกาศระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงสันติภาพ (Joint Declaration) ซึ่งมีข้อกังวลว่าอาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบหรือไม่ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่เกิดเหตุ และ ณ จุดนั้น นายกรัฐมนตรีได้บอกว่า จะยุติการปฏิบัติตาม Joint Declaration เพราะต้องไม่ลืมว่า เราจะเสียเปรียบอย่างไร ในเมื่อเราเป็นผู้ถูกละเมิด ผู้ที่ฉีก Joint Declaration คือฝ่ายกัมพูชา ด้วยการตัดรั้วลวดหนามเข้ามาวางทุ่นระเบิด และยิงยั่วยุ เป็นการละเมิด Joint Declaration ใน 3 ข้อด้วยกัน “ผมกลับมองตรงกันข้ามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ประชาคมระหว่างประเทศ หรือชาวโลกเขาเห็นว่า ไทยเป็นเหยื่อ เราโดน มีนายกรัฐมนตรีประเทศไหนจะบอกว่า เราไม่ตอบโต้บ้างละครับ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ ค่อนข้างปกติที่ฝ่ายไทยจะลุกขึ้นมา เราต้องบอกว่า เราจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้” นายนิกรเดชกล่าว นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เรายังได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังประเทศที่เกี่ยวข้องที่สุด คือผู้สังเกตการณ์การลงนามในปฏิญญาร่วม คือสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ขณะเดียวกัน ยังได้ส่งสำเนาให้ทุกประเทศในอาเซียนได้ทราบ เราเชิญทูตมาบรรยายสรุป บอกจุดยืนและท่าที การดำเนินการของเรา ข้อเรียกร้องของเราที่ชัดเจนโปร่งใสมาก เราเรียกร้อง 3 ข้อ รอให้ฝ่ายกัมพูชาตอบรับกลับมา แล้วเราจะมาทบทวนพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ เมื่อถามย้ำว่า มีความเห็นจากฝ่ายการเมืองว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีไทยประกาศระงับ Joint Declaration กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าอย่างไร นายนิกรเดช กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมด ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงคือกัมพูชา การระงับการปฏิบัติตาม Joint Declaration เป็นเรื่องปกติ ส่วนตัวไม่เห็นว่าจะทำให้ไทยเสียเปรียบตรงไหน ถ้าเราดำเนินการตาม Joint Declaration ต่อฝ่ายเดียว จะเป็นเรื่องที่แปลก ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการอย่างไร นายนิกรเดช ระบุว่า เท่าที่ได้ตรวจสอบ ทราบว่ามีการพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียและไทย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ก็ต้องการให้มีการพูดคุยหาข้อสรุป โดยยังไม่ได้เสนอเป็นตัวกลางอะไร เป็นการถามว่า มีอะไรที่ประธานอาเซียนจะช่วยได้ ก็ยินดี นายนิกรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเรื่องนี้ เรายังไม่ได้ตอบอะไร เรายังยืนยันเรื่องการขอให้กัมพูชาปฏิบัติตาม 3 ข้อที่เราได้แจ้งไปแล้ว ก่อนจะมาพิจารณาอีกครั้งว่า เรื่อง Joint Declaration จะดำเนินการอย่างไรต่อ เป็น 3 ข้อที่เรารอ สำหรับประเทศมาเลเซียเราก็รับฟัง และยินดีในความหวังดีของเขา แต่จุดนั้นจะมาก็คงหลังจากมีการตอบรับ 3 เงื่อนไขที่เราร้องขอไป ที่มาเรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย [1] [2]   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กระทรวงการต่างประเทศ * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
15.11.2025 01:49 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
คนส่งพัสดุจีนเขียนหนังสือขายดี เผยชีวิตการทำหนักภายใต้เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม คนส่งพัสดุจีนเขียนหนังสือขายดี เผยชีวิตการทำหนักภายใต้เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม auser15 Sat, 2025-11-15 - 08:17 สื่อ Rest of World สัมภาษณ์ 'หู อันเยี่ยน' อดีตคนส่งพัสดุในจีน ผู้เขียนหนังสือ "ฉันส่งพัสดุในปักกิ่ง" (I Deliver Parcels in Beijing) เล่าประสบการณ์ทำงานหนักภายใต้ระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ที่เอาเปรียบแรงงานระดับล่าง ทำงานสัปดาห์ละ 70-80 ชั่วโมง ได้เงินไม่ถึง 5,000 หยวนต่อเดือน หนังสือกลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ปี 2023 สะท้อนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและชีวิตคนทำงานที่ไม่ถูกให้ความสำคัญ ภาพปกหนังสือ "ฉันส่งพัสดุในปักกิ่ง" (I Deliver Parcels in Beijing) เขียนโดย 'หู อันเยี่ยน' (Hu Anyan) | ภาพจาก: Rest of World  'หู อันเยี่ยน' (Hu Anyan) อายุ 46 ปี เคยทำงาน 19 อาชีพใน 6 เมืองทั่วจีน ตั้งแต่ขายจักรยาน เปิดร้านเสื้อผ้า ทำงานในเบเกอรี่ ทำภาพสถาปัตยกรรม 3 มิติ เวรกลางคืนที่คลังสินค้า จนมาเป็นคนส่งพัสดุ ชีวิตที่ผ่านมาของเขากลายมาเป็นหนังสือที่ชื่อว่า "ฉันส่งพัสดุในปักกิ่ง" (I Deliver Parcels in Beijing) ซึ่งเล่าถึงประสบการณ์การทำงานทุกอย่างในแบบที่อ่านง่าย เต็มไปด้วยรายละเอียด สีสัน และอารมณ์ขัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจอหัวหน้าที่ใช้คำพูดหยาบคาย ลูกค้าที่โมโหโวยวาย หรือคอนโดหลายชั้นที่ต้องเดินส่งของจนปวดขา หนังสือเล่มนี้วางขายในปี 2023 และกลายเป็นหนังสือขายดีทันที ผู้อ่านชาวจีนชอบเรื่องราวของคนส่งพัสดุหลายล้านคนที่เป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซประสิทธิภาพสูงของจีน แต่แรงงานแต่ละคนกลับถูกมองว่าทดแทนได้ตลอดเวลา หลายคนยังรู้สึกเข้าใจกับสิ่งที่หูเขียน เพราะมันสะท้อนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โอกาสก้าวหน้าในสังคมที่ลดน้อยลง การว่างงาน และงานที่ไม่ได้ให้ความหมายอะไรกับชีวิต ก่อนหนังสือจะวางขายในอเมริกาโดยแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยแจ๊ค ฮาร์กรีฟ (Jack Hargreaves) หูได้คุยกับสื่อ Rest of World ถึงเส้นทางการเขียนของเขา มุมมองเรื่องคนส่งพัสดุจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีหรือไม่ และสิ่งที่อยากให้ชาวอเมริกันได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ 'หู อันเยี่ยน' (Hu Anyan) ผู้เขียนหนังสือ "ฉันส่งพัสดุในปักกิ่ง" (I Deliver Parcels in Beijing) | ภาพจาก: PEN America คุณเริ่มเขียนได้อย่างไร และหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง? ประมาณปี 2009 ผมเปิดร้านเสื้อผ้าผู้หญิงในนานกิง (Nanjing) เป็นงานที่ทรมานมาก ตอนนั้นแฟนสาวเลิกกับผมด้วย ผมอายุ 30 ปี และรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมาก ผมเลยเริ่มทำงานเขียน มันเหมือนการหนีไปอยู่อีกโลก หรือเหมือนการสวดมนต์ เกือบ 2 ปี ผมใช้เวลามากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันอ่านหนังสือ เขียน และคุยกับนักเขียนคนอื่นในเว็บบอร์ดวรรณกรรมออนไลน์ แล้วผมก็กลับไปทำงาน เขียนแค่เป็นครั้งคราว ปี 2020 ช่วงโควิด-19 ผมมีเงินเก็บพอจะกลับมาเขียนจริงจังอีกครั้ง บทความหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับการทำงานในคลังสินค้าได้รับความสนใจมากบน Douban ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดีย มีกลุ่มศิลปินเอาเรื่องที่ผมเขียนไปทำเป็นหนังสือเล่มเล็ก ผมก็เพิ่มเรื่องส่งพัสดุเข้าไป หลังจากนั้นบรรณาธิการหลายคนก็มาติดต่อ ผมทำงานกับบรรณาธิการคนหนึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานทุกอย่างของผม ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับตัวเอง แต่ผมตระหนักว่าหนังสือเล่มนี้บรรลุเป้าหมายเดียวกันกับที่ผมอยากทำผ่านนวนิยาย นั่นคือการสร้างความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับผู้อ่าน ในประเทศจีนการส่งพัสดุถึงมือลูกค้าเร็วมาก คุณคิดว่าการช็อปปิ้งออนไลน์ทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นไหม? ประเทศเรามีระบบขนส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซที่ทันสมัย แต่ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเอาเปรียบแรงงานระดับล่างของอุตสาหกรรม ตอนนี้ธุรกิจส่วนใหญ่ส่งพัสดุถึงวันถัดไปได้ถ้าอยู่ในเมืองเดียวกัน นั่นหมายความว่ารถบรรทุกใช้เวลาทั้งวันขนพัสดุไปที่คลังสินค้า กลางคืนพนักงานในคลังก็คัดแยกพัสดุตามจุดหมาย ตอนที่ผมทำเวรกลางคืนในปี 2017 ถึง 2018 ผมได้เดือนละไม่ถึง 5,000 หยวน (ประมาณ 24,000 บาท) ผมคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วคงทำแบบนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีเราทันสมัยกว่า แต่เพราะเรามีแรงงานล้นตลาด นักธุรกิจเทคโนโลยีพูดกันถึงเรื่องใช้โดรนและรถไร้คนขับมาแทนคนส่งพัสดุ หรือให้หุ่นยนต์ทำงานในคลังสินค้า คุณคิดว่าคนทำงานกังวลเรื่องจะตกงานเพราะเทคโนโลยีไหม? ผมได้ยินคนกังวลเรื่อง AI มากกว่าจากคนทำงานออฟฟิศ ไม่ใช่จากคนทำงานใช้แรง เพื่อนร่วมงานเก่าของผมที่ทำงานใช้กำลังกายไม่ค่อยแสดงความกังวลแบบนี้ บางทีพวกเขาอาจไม่ค่อยติดตามข่าว หรืออาจกดดันเรื่องหาเลี้ยงชีพมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ บริษัทอีคอมเมิร์ซพูดเรื่องระบบอัตโนมัติมาหลายปีแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาแค่อยากขายหุ้น คนทำงานในคลังสินค้าอาจถูกแทนที่ได้ แต่คนส่งของมีมากกว่า คนส่งพัสดุต้องรู้จักขับรถในสถานการณ์การจราจรที่ซับซ้อน เข้าใจความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย และปรับตัวกับบุคลิกภาพและวิธีสื่อสารที่ต่างกัน หากจะให้หุ่นยนต์ทำแบบนี้ ต้นทุนมันแพงมาก คุณอยากให้ส่วนไหนของประสบการณ์คุณสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้อ่านมากที่สุด? ผู้อ่านส่วนใหญ่ของผมเป็นคนทำงานออฟฟิศและคนที่มีการศึกษา หลายคนสนใจชื่อหนังสือเพราะอยากรู้เรื่องคนส่งพัสดุ หลายคนยังรู้สึกเข้าใจความผิดหวังของผมกับการเติบโตของอุตสาหกรรมออนไลน์ และความไม่เชื่อเรื่องการเป็นผู้ประกอบการ การไล่ตามความสำเร็จและความมั่งคั่ง และการปีนบันไดสังคม มีคนที่ได้ทั้งเงินเดือนและความเติมเต็มจากงาน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่มันยาก ผู้อ่านหลายคนสนใจคำถามนี้ว่า "ถ้าฉันไม่ได้โดดเด่นที่สุด ฉันควรจัดการกับความสัมพันธ์กับงานยังไง" งานส่วนใหญ่ที่ผมทำหลังอายุ 30 ผมทำงานมากกว่า 70 หรือ 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผมเขียนเรื่องส่งพัสดุไว้แค่ 1% ของประสบการณ์จริงในหนังสือเล่มนี้ อีก 99% ของเวลาที่ทำงานนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้น มันยากที่จะไม่รู้สึกท้อแท้กับชีวิตในสถานการณ์แบบนั้น ผมเลยพยายามทำอะไรที่สร้างสรรค์ เช่นเขียนบทกวีและนวนิยาย เพราะมันจะเผยให้เห็นความเป็นเอกลักษณ์ของผม ผมเขียนเพราะผมไม่มีทางเลือกอื่น คุณอยากให้หนังสือฉบับภาษาอังกฤษสร้างผลกระทบอะไรกับต่างประเทศ? ผมหวังว่าจะช่วยให้ผู้อ่านต่างประเทศเรียนรู้เกี่ยวกับจีนมากขึ้น ผมเห็นชาวอเมริกันแสดงความเห็นออนไลน์ว่าเคยคิดว่าคนจีนมาแย่งงานพวกเขา แต่หลังจากดูสารคดีเกี่ยวกับแรงงานพลัดถิ่นในจีน เขาก็เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น ความแตกแยกย่อมเกิดขึ้นในโลกนี้ เพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ผมหวังว่าจากการเข้าใจกันมากขึ้น เราจะพัฒนาความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาต่อกัน ผมหวังว่าหนังสือของผมจะช่วยสร้างความเข้าใจนั้นได้   ที่มา: “I Deliver Parcels in Beijing”: Chinese literary sensation reaches U.S. (Viola Zhou, Rest of World, 3 November 2025)   * สัมภาษณ์ * แรงงาน * ต่างประเทศ * หนังสือ * คนส่งพัสดุ * แรงงานแพลตฟอร์ม * Rest of World * I Deliver Parcels in Beijing
15.11.2025 01:31 — 👍 0    🔁 3    💬 0    📌 0
Preview
สภาลมหายใจออกแถลงการณ์ 'คนเหนือต้องการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นสิทธิมนุษยชน' สภาลมหายใจออกแถลงการณ์ 'คนเหนือต้องการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นสิทธิมนุษยชน' auser15 Sat, 2025-11-15 - 07:54 เครือข่ายสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือออกแถลงการณ์ "คนเหนือต้องการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนไม่ใช่นายทุน" เรียกร้องกรรมาธิการวุฒิสภาต้องเลิกถ่วงเวลาหันมาเดินหน้ากฎหมายของประชาชน พ.ร.บ.อากาศสะอาดจะเป็นแค่แผ่นกระดาษหากเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ไร้อำนาจในการปกป้องสิทธิประชาชน และขาดความเข้าใจจากคณะกรรมการระดับจังหวัดเรื่องไฟจำเป็น ภาพจาก: สภาลมหายใจ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เครือข่ายสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ ออก แถลงการณ์ข้อเรียกร้องสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ "คนเหนือต้องการพ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนไม่ใช่นายทุน" ระบุว่ากรรมาธิการวุฒิสภาต้องเลิกถ่วงเวลาหันมาเดินหน้ากฎหมายของประชาชน พ.ร.บ.อากาศสะอาดจะเป็นแค่แผ่นกระดาษหากเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ไร้อำนาจในการปกป้องสิทธิประชาชน และขาดความเข้าใจจากคณะกรรมการระดับจังหวัดเรื่องไฟจำเป็น ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนต่อการมีอากาศสะอาดหายใจได้ถูกละเมิด โดยที่ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนมักถูกแปรไปเป็นผลกำไรของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรม ฤดูฝุ่นควันกำลังใกล้เข้ามาอีกครั้ง แต่ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดที่ประชาชนโดยเฉพาะคนภาคเหนือกำลังรอคอย ยังคงถูกชะลอจากชั้นกรรมาธิการวุฒิสภา และกำลังถูกภาคเอกชนและกลุ่มตัวแทนอุตสาหกรรมส่งเสียงคัดค้าน ซึ่งอาจทำให้ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเสี่ยงกับการถูกขยายเวลาพิจารณาไปจนกุมภาพันธ์ 2569 และไม่ทันการก่อนรัฐบาลยุบสภาและอาจตกไป เครือข่ายสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ มีข้อเรียกร้องเพื่อการดำเนินการร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดดังต่อไปนี้ 1. เพื่อให้กฎหมายอากาศสะอาดถูกบังคับใช้ได้ทันท่วงทีก่อนถึงฤดูฝุ่นของภาคเหนือ  ชั้นกรรมาธิการของวุฒิสภา และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนืออุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษ เร่งพิจารณาให้ผ่านร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อนำมาบังคับใช้โดยเร็วบนฐานคิดที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศเป็นสำคัญ และผลักดันให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่วิถีการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรการทางกฎหมาย เพราะการลงทุนและผลกำไรทางธุรกิจใดใดนั้นไม่ควรมีต้นทุนจากสุขภาพของประชาชน 2. กรณีฝุ่นควันข้ามแดนซึ่งเป็นปัญหาหลักของพื้นที่ภาคเหนือตอนบน รัฐต้องเร่งดำเนินมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่ระบุไว้ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อกำกับดูแลให้มีระบบตรวจสอบในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ เกษตร และอาหาร โดยกำหนดให้ข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็นข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงและร่วมตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสในทุกกระบวนการ 3. คณะกรรมการระดับจังหวัดต้องประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในระดับจังหวัด และตัวแทนประชาชนที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ผู้มีวิถีชีวิตพึ่งพิงการใช้ไฟในไร่หมุนเวียน 4. สนับสนุนให้เกิดแผนการแก้ไขปัญหาไฟป่าเชิงพื้นที่โดยชุมชนมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่และระดับจังหวัด โดยรวมถึงไฟจำเป็น แผนนี้จะต้องมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงชุมชนและภาคประชาสังคม กับหน่วยงานป่าไม้ ภาคธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อผสานแผนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ป่ารอยต่อหลาย ๆ ประเภท 5. เครือข่ายฯ เรียกร้องการยกระดับจากแนวทางห้ามเผาโดยเด็ดขาด (Zero Burn) แบบเหมารวม เป็นการบริหารจัดการไฟแบบมีส่วนร่วม เนื่องจากการห้ามเผาเด็ดขาดแบบเหมารวมจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแล้ว ยังเพิ่มเชื้อเพลิงในป่า ทำให้ปัญหามลพิษทวีความรุนแรงขึ้น และยังเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนของชุมชน ประชาชนกำลังตั้งตารอกฎหมายอากาศสะอาดที่เป็นของประชาชนเพื่อคืนสุขภาพให้กับคนเหนือ และคืนสิทธิในอากาศสะอาดให้กับประชาชนอย่างแท้จริง   * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * สภาลมหายใจ * PM2.5 * ภาคเหนือ
15.11.2025 01:09 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
‘สุภลักษณ์’ อ่านปมไทย-กัมพูชา ในมือรัฐบาลอนุทินใต้เงากองทัพ ‘สันติภาพ’ จะสุดทางเลื่อน? ‘สุภลักษณ์’ อ่านปมไทย-กัมพูชา ในมือรัฐบาลอนุทินใต้เงากองทัพ ‘สันติภาพ’ จะสุดทางเลื่อน? ทีมข่าวการเมือง admin666 Fri, 2025-11-14 - 21:26 การลงนามในข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา โดยที่มีสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเป็นสักขีพยานเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถูกมองว่าเป็นหมุดหมายอันดีต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี  แต่ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศกลับมาอยู่ในจุดที่เปราะบางอีกครั้ง หลังผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ เมื่อทางการไทยสั่งระงับข้อตกลงสันติภาพด้วยเหตุที่ทหารไทย 2 นาย บาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด ตามมาด้วยการประกาศชะลอส่งเชลยศึกกลับกัมพูชา รวมถึงชะลอการอนุญาตให้แรงงานกัมพูชาอยู่ในไทย สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นอีกเมื่อเกิดเหตุยิงใส่กันระหว่างกองทัพ 2 ฝ่ายในช่วงบ่ายวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมาที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว ด้านรัฐบาลกัมพูชาอ้างว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 1 ราย ต่างฝ่ายต่างชี้นิ้วกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน นับเป็นความตึงเครียดที่สุ่มเสี่ยงจะนำไปสู่สงครามอีกระลอกตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนเป็นรัฐบาลอนุทิน ด้านอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ต่อสายหาผู้นำ 2 ประเทศกลางดึกคืนวันที่ 13 พ.ย. แสดงตัวเป็นกลางในการเจรจาเพื่อสันติภาพอีกครั้ง พร้อมเน้นย้ำว่าผู้นำ 2 ประเทศให้สัญญาณบวก และมุ่งมั่นหาทางออกวิกฤตด้วยแนวทางสันติวิธี ซึ่งก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าการเจรจาที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งจะยั่งยืนหรือเปราะบางเหมือนหลายรอบที่ผ่านมา ประชาไทจึงชวน ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ อดีตนักข่าวที่ติดตามประเด็นชายแดนมายาวนาน และมีความเชี่ยวชาญในด้านความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน มาช่วยวิเคราะห์สถานการณ์และตอบคำถามที่อาจจะยังค้างคาในหลายประเด็น เรื่องนี้หากย้อนกลับไปดูตอนแรกที่รัฐบาลอนุทินได้ขึ้นมาแทนรัฐบาลเพื่อไทย จะได้รับสารแสดงความยินดีของฮุน มาเนต ที่ดูเหมือนจะหาทางลงด้วยการ “ยื่นช่อมะกอก” ให้ แต่กลับเป็นหมันเพราะไม่ได้รับการตอบสนองจากไทยนัก เพราะภาวะ “อารมณ์ค้าง” ของผู้รักชาติทั้งหลาย  สังเกตได้จากการประชุมทวิภาคีระดับคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ที่เกาะกง ตอนที่นายกฯ อนุทินขึ้นมาตำแหน่งใหม่ ๆ ไทย-กัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงที่สร้างสรรค์อย่างมาก ทั้งแผนการถอนอาวุธ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้งจัดการพื้นที่พิพาทบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว แต่วันรุ่งขึ้นบรรดาขุนทหารนำโดยเสนาธิการทหารในเวลานั้นตามด้วยแม่ทัพภาคที่ 2 กลับออกมาบอกว่าเป็นเรื่องรับไม่ได้กับข้อเสนอนี้ จนณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ไปเจรจาก็ออกมาบอกว่าไม่ได้มีการตกลงอะไรมากมายขนาดนั้น  ระงับข้อตกลงสันติภาพแล้วจะเหลืออะไร? สุภลักษณ์มองว่า การระงับข้อตกลงสันติภาพเป็นการปิดช่องทางทางการทูต ซึ่งปกติแล้วไทยจะใช้วิธีที่ดีกว่านี้ในการจัดการกับกัมพูชา ถ้าสังเกตฮุน มาเนต ย้ำในแถลงการณ์ว่า กัมพูชาเชื่อมั่นในสันติวิธีและสปิริตของข้อตกลงสันติภาพที่ลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.  หากพูดกันในทางการทูต ท่าทีของไทยแบบนี้ทำให้กัมพูชากำลังนำเราอยู่ โดยการแสดงให้เห็นว่าเขายังยึดมั่นในแนวทางสันติและต้องการที่จะทำให้สัญญาสงบศึกนี้เกิดผลอย่างจริงจัง ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจากทุ่นระเบิดไม่ควรทำให้ภาพใหญ่เสียไป นี่คือจุดยืนที่กัมพูชาพยายามจะนำเสนอต่อโลก ในขณะที่ไทยที่เป็นประเทศที่ใหญ่กว่า มีกำลังทางทหารเหนือกว่าและอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่ากลับไม่เชื่อมั่นแม้กระทั่งสัญญาที่เราไปเซ็น เป็นการบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยไม่ศรัทธา ไม่เคารพสัญญาที่ตัวเองไปทำไว้ และกำลังทำให้ไทยสูญเสียอำนาจต่อรองทางการทูตไป แม้ว่าระหว่างไทย-กัมพูชา มีกลไกทวิภาคีอยู่จำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่ากลไกลเหล่านั้นแทบจะไม่ถูกหยิบมาใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการปะทะ จนเกิดวิพากษ์วิจารณ์ไปจนถึงการเรียกร้องให้ระงับกลไกเหล่านี้ไปเสีย เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่มีความจริงใจ แต่คำถามก็คือ กลไกลเหล่านี้ใช้ไม่ได้เพราะกัมพูชาจริงหรือ?  สุภลักษณ์ชี้ว่า กลไกเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยเจตจำนงทางการเมือง (Political will) และความเป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น กลไกลต่างๆ จึงไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง ถ้านับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.2568 กลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) คณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) ก็ดี ทำงานมาตลอด แต่พอตกลงกันเสร็จแล้วกลับไปต่อไม่ได้  เขายกตัวอย่างเช่น กรณีที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันใน JBC ว่าจะใช้ LiDAR (เทคโนโลยีวัดระยะและความสูงด้วยแสง) หาสันปันน้ำ ผลคือถูกคนในประเทศคัดค้านด้วยเหตุผลว่าเราจะเสียดินแดน หรือที่ พล.อ.ณัฐพลไปเจรจามาแล้วว่าจะเปิดด่านในจุดที่มีความตึงเครียดต่ำก็ถูกประท้วง  อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือวันแรกของการเซ็นสัญญาสันติภาพ ในวันนั้นมีการตกลงกันว่าจะถอนทหารเป็นเชิงสัญลักษณ์ทันที กัมพูชาดำเนินการทันทีในคืนนั้น แต่ฝ่ายไทยรอให้ผ่านไป 2 วันแล้วจึงดำเนินการและถ้าไม่ถูกทวงถามก็อาจจะไม่ทำ ลักษณะนี้จึงไม่ใช่ข้อตกลงของสองประเทศที่อยู่ในฐานะที่สมบูรณ์แล้ว เวลาฟังข้อมูลจากฝ่ายไทย เราก็บอกว่ากัมพูชาไม่จริงใจ ไม่ปฏิบัติตาม แต่พอเราจะให้มีบุคคลที่สามก็คือทีมสังเกตการณ์ของอาเซียน (Asean Observer Team - AOT) เข้ามาตรวจสอบ เราก็ไม่ให้มันทำงานได้เต็มที่ ตามจริงเหตุการณ์ทุ่นระเบิดก็ดี บ้านหนองจานก็ดี คนรายงานจะต้องเป็น AOT ไทยต้องเอาบุคคลที่สามมาเข้ามาตรวจสอบระเบิดอย่างโปร่งใส เพราะหากไม่ให้เอาบุคคลที่สามเข้ามา ฝั่งไทยก็บอกว่ากัมพูชาเป็นคนวาง แล้วกัมพูชาก็ปฏิเสธ แล้วจะประชาชนจะเชื่อใคร ทำให้เรื่องไม่มีทางออก อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์ชี้ปัญหาด้วยว่า ปัญหาที่กลไกอย่าง AOT ทำงานไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดที่มีอยู่มาก เพราะเมื่อไปดู TOR ที่ไทยกำหนด ให้ทำงานแยกกัน 2 ฝั่ง ไม่ข้ามแดนกัน แล้วก็อนุญาตให้ไปลงพื้นที่เท่าที่รัฐบาลสองฝั่งให้ไปเท่านั้น แล้วในกรณีของไทยก็จำกัดมากไปจนถึงเรื่องชุดของทีมสังเกตการณ์ว่าจะต้องไม่ใส่ชุดทหารลงไป ซึ่งเจตนาเดิมของไทยไม่ต้องการให้กลไกเหล่านี้ทำงานได้หรือต้องทำอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร  หากไทยจะจัดการเรื่องทุ่นระเบิดรอบล่าสุดนี้  สุภลักษณ์มองว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างที่ถือว่าเป็นคุณต่อฝ่ายไทยเป็นอย่างมาก หากไทยยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่เข้ามาวางทุ่นระเบิด สิ่งแรกที่ต้องทำคือแจ้งไปที่กัมพูชาเพื่อขอคำอธิบายอย่างเป็นทางการ หากไม่พอใจกับคำอธิบาย ไทยจะต้องส่งคำขอไปที่เลขาธิการสหประชาชาติเพื่อขอจัดประชุมกับรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งกระบวนการกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการอยู่แล้ว  แต่ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น ไทยต้องร้องขอคณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริง (Fact-finding mission) แต่ไทยก็ต้องเดินหน้าทางการทูตให้มากขึ้น เพื่อขอเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 จากรัฐสมาชิกในอนุสัญญาออตตาวา  อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์มองว่า เป็นจังหวะที่ไทยอาจจะลำบากแล้ว เนื่องจากรัฐบาลประกาศแล้วว่าจะระงับข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งแปลว่าไทยจะไม่ใช้เครื่องมือที่อยู่ภายใต้คำแถลงร่วม-ข้อตกลงสันติภาพ และในเมื่อมีกลไกทวิภาคีหรืออาเซียนอยู่ก็บอกว่าจะไม่ใช้แล้ว จะไปที่สหประชาชาติแทน ยิ่งเข้าทางกัมพูชาเพราะทางกัมพูชาพยายามเรียกร้องให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับสากลมาโดยตลอดและสามารถย้อนกลับไทยได้ว่ากลไกทวิภาคีใช้ไม่ได้แล้ว ทำให้ไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับแทนที่จะได้เป็นฝ่ายรุกในทางการทูต   “ถ้าเราไม่รีบประกาศ (ระงับข้อตกลงสันติภาพ) เราจะเป็นฝ่ายรุก ในแง่ทางการทูต เราก็จะมีแนวทางในการจัดการปัญหานี้ได้อย่างสันติ แต่เรากลับเลือกวิธีที่แข็งกร้าว และส่อเจตนาจะใช้กำลังทหารอยู่ตลอดเวลา อันนี้มันไม่เป็นผลดีต่อสันติภาพแน่ๆ” สุภลักษณ์กล่าว  ข้อตกลงสันติภาพจากความเต็มใจหรือแค่มัดมือชก? สุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตว่า โดยทั่วไปปัจจัยภายนอกจากมหาอำนาจถือเป็นแรงกดดันที่มีนัยยะสำคัญโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ใช้แรงกดดันทางภาษี ซึ่งไทยปฏิเสธลำบาก หากยังรบกันอยู่เขาก็จะไม่ลดภาษีให้ จึงกลายเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้กลับมาเจรจากันอีกครั้ง แม้ว่าสัญญาที่ทำกันขึ้นมาจะค่อนข้างเปราะบางก็ตามที ในขณะที่กัมพูชาเองที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน โดยเฉพาะยิ่งทางการทหารซึ่งเป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าจีนเป็นคนสร้างฐานทัพที่เรียม และสิ่งนี้ก็สร้างความกังวลให้สหรัฐฯ ที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางทหารของจีนอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนนักจนกระทั่งรอบนี้ ขณะเดียวกันกัมพูชาเองก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ภายใต้อิทธิพลจีนมานานเกินไปแล้ว จึงถึงเวลาที่จะมหาอำนาจอื่นเข้ามา แต่สหรัฐฯ เองก็ขึ้นบัญชีดำคนในเครือข่ายใกล้ชิดตระกูลฮุนด้วยข้อหาต่างๆ เช่น ค้ามนุษย์ ฟอกเงิน การแซงชั่นของสหรัฐฯ จึงส่งผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลในพนมเปญอย่างมาก เพราะไม่มีทางเลือกทำให้ต้องดึงสหรัฐฯ เข้ามา ส่วนไทยกับจีน สุภลักษณ์ก็มองว่าไทยเองก็ระแวงจีนที่จะส่งอาวุธให้กัมพูชาเพิ่มเพื่อมาเล่นงานไทย มีการตรวจสอบข่าวกันอยู่ แล้วพอนิวยอร์คไทม์ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกมาช่วงเดือนต้นเดือนมิถุนายนว่า จีนส่งอาวุธให้กัมพูชา แม้ทางรัฐบาลจีนจะปฏิเสธกันเสียงแข็ง แต่เมื่อข่าวออกมาเช่นนี้ก็ทำให้รัฐบาลจีนต้องระมัดระวังท่าทีมากขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้ทรัมป์ได้ชิงจังหวะใช้มาตรการกับทั้งไทยและกัมพูชาได้อย่างเต็มที่โดยที่กัมพูชาและไทยไม่เหลือทางเลือกที่จะไปเข้าหาจีนได้ จนผลสุดท้ายสามารถบังคับให้ทั้งหมดต้องกลับมานั่งโต๊ะเจรจากัน แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจมากเท่าใดนัก  รัฐบาลอนุทินขี่กระแสชาตินิยม สุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในขณะที่กระแสชาตินิยมกำลังกลับมาหลังจากลดระดับไปช่วงหนึ่ง หลังแต่ละฝ่ายเริ่มเดินไปที่โต๊ะเจรจา (และแน่นอนว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนนายกฯ ด้วย) แต่พอเสียงระเบิดดังขึ้น กระแสก็กลับมาอีกครั้ง รัฐบาลอนุทินก็ดูเหมือนจะขี่กระแสด้วยการชิงประกาศระงับข้อตกลงที่ทำกันแทบจะทันที จนบางคนก็ประเมินว่ารัฐบาลภูมิใจไทยกำลังอาศัยกระแสเรียกความนิยมให้ตัวเองเผื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าไปด้วยเลยหรือไม่ “ความตั้งใจของคุณอนุทินคงใช่ แต่ในทางความเป็นจริงจะทำได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของการเลือกตั้ง มันไม่ค่อยสัมพันธ์อะไรกับเรื่องชาตินิยม” สุภลักษณ์ระบุ สุภลักษณ์ย้อนกลับไปเมื่อครั้งกรณีปัญหาประสาทเขาพระวิหาร ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่พยายามเล่นกับกระแสชาตินิยมหวังได้คะแนนนิยม แต่เมื่อเรื่องไปถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือที่เรียกกันว่าศาลโลกแล้วสุดท้ายก็แพ้การเลือกตั้งอยู่ดี แม้ประวัติศาสตร์กำลังบอกเราว่า การเลี้ยงกระแสชาตินิยมไม่ได้ผลกับการได้คะแนนเสียงท่วมท้นในเลือกตั้ง แต่เที่ยวนี้สุภลักษณ์มองว่านายกฯ อนุทินอาจจะมองว่าพอมีความหวัง เพราะประเมินว่ากระแสคราวนี้แรงกว่าคราวก่อนมาก คนไทยรู้สึกเจ็บแค้นจากการรบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจนมีความสูญเสียมาก ทำให้คนไทยอยากเห็นรัฐบาลแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว  แต่ในทางกลับกัน การเลี้ยงกระแสชาตินิยมเช่นนี้มีปัญหาอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะไม่สามารถแปรเปลี่ยนออกมาเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมได้ นโยบายแบบไหนที่จะบอกได้ว่ารัฐบาลรักชาติ และจะทำอย่างไรกับความรักชาติอันนี้ เพื่อแปลออกมาเป็นโครงการที่เป็นรูปธรรมเพื่อดึงให้คนมาลงคะแนนให้  “กล้าประกาศไหมว่าเราจะยึดคืนปราสาทพระวิหาร เราจะยึดปราสาทตาควาย เราจะส่งกองกำลังไปยึดพระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณเอากลับมาให้เป็นของไทยอีกครั้งหนึ่ง จะมีพรรคการเมืองไหนกล้า คุณอนุทินจะกล้าพูดถึงขนาดนั้นหรือเปล่า ผมก็คิดว่าเขาไม่กล้าพูดขนาดนั้นหรอก” สุภลักษณ์กล่าว อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยอาจจะคาดหวังคะแนนจากเรื่องนี้พอสมควร แต่การเลี้ยงกระแสอย่างเดียวอาจรับประกันไม่ได้ขนาดนั้น อาจจะต้องเลี้ยงกระแสไปพร้อมกับการโจมตีพรรคเพื่อไทยว่าทำผิด เป็นเรื่องของทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาขัดแย้งกับฮุน เซน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนซึ่งอาจได้ผลบางพื้นที่เช่น อีสานใต้ ซึ่งเป็นที่มั่นของพรรคภูมิใจไทย  ทั้งนี้สุภลักษณ์ประเมินว่า ไม่ว่าประชาชนส่วนอื่นในประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจะคิดอย่างไร แต่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกำลังคาดหวังว่าเรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว เพราะถ้ารัฐบาลยังทำให้เรื่องไม่จบต่อไปประชาชนก็จะยังอยู่ในความหวาดวิตก ทำมาหากินไม่สะดวกรายได้หดหาย ความขัดแย้งทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่ราบรื่น แม้ว่ารอบก่อนอาจจะยังไม่มีใครกล้าออกมาพูดนัก แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีคนออกมาพูดว่ายังไม่ได้รับเงินชดเชยเป็นเรื่องเป็นราว ทหารก็ห้ามชาวบ้านขึ้นไปกรีดยาง  ต่อคำถามว่า การปะทะกันจะเป็นเหตุให้รัฐบาลอนุทินใช้ในการอยู่ยาวต่อหรือไม่ เรื่องนี้สุภลักษณ์มองว่าถึงจะเป็นไปได้ แต่หากดูความพร้อมทั้งด้านเศรษฐกิจของไทยและความสามารถของกองทัพเองล้วนมีปัญหาทั้งคู่หากสถานการณ์สงครามจะยืดยาวออกไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลอยู่ต่อ เพราะไทยเองพึ่งพาแรงงานกัมพูชามากและตอนนี้ 90% ก็กลับไปแล้ว อีกทั้งการค้าชายแดนชะงักมาหลายเดือน และคนกัมพูชาก็ต่อต้านสินค้าไทย ความรู้สึกของคนในพื้นที่ก็เริ่มสะท้อนให้เห็นผ่านข่าวที่ว่าขอเก็บเกี่ยวข้าวก่อนอย่าเพิ่งเปิดฉากยิง ส่วนกองทัพไทยเองก็มีปัญหาเรื่องส่งกำลังบำรุงอยู่  จะสันติได้กี่โมง ถ้ากองทัพยังขี่หลังรัฐบาลอยู่ หากย้อนดูบทบาทของกองทัพไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา จะเห็นว่าเป็นตัวแปรสำคัญมากต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระลอกนี้มาตั้งแต่ต้นปี และบทบาทที่ว่านี้ไม่ใช่แค่การรบในสนาม แต่เป็นบทบาททางการเมืองที่ปรากฏให้เห็นในหน้าสื่อ ตั้งแต่ก่อนปะทะกันรอบแรกที่ออกมาตีเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาเรียบร้อยแล้วว่าจะใช้แผนที่ใดในการแบ่งดินแดน ทั้งที่กลไกทวิภาคีของ 2 ประเทศซึ่งตั้งมาตามกลไกใน MOU43 ยังปักหมุดเขตแดนกันไม่เสร็จ และกองทัพยังเล่นบทปลุกกระแสพร้อมรบนำหน้ารัฐบาลไปก่อนแล้วด้วยแคมเปญ ‘ส่งด่วนระเบิด’ ไปให้กัมพูชา ลงท้ายยังปิดปราสาทตาควาย-ตาเมือนธมก่อนนำไปสู่การปะทะในวันรุ่งขึ้น จนรอบหลังสงคราม พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่เพียงแต่เดินสายพูดตั้งแต่ก่อนเกษียณ หลังเกษียณยังทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ว่ามีคนสั่งให้หยุดรบหลังเปิดฉากยิงกันไป 6 ชั่วโมง จนพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบันที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีช่วย รวมถึงภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมในเวลานั้นต้องออกมาแก้ข่าวกันพัลวัน ก่อนที่ระเบิดลูกนี้จะกลายเป็นระเบิดด้าน เพราะสุดท้ายพล.ท.บุญสินออกมาแก้ข่าวเองว่าไม่ได้มีใครสั่งให้หยุดรบแค่ปรึกษากันด้วยความเป็นห่วง ล่าสุดเมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นที่ชายแดนอีกระลอกจากทุ่นระเบิดที่ไทยระบุว่ากัมพูชาฝังไว้ ซึ่งยังไม่ทันได้คำตอบที่ชัดเจน กองทัพอากาศก็ชิงออกมาประกาศแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าข้อตกลงใดๆ ที่ทำกันไว้กับกัมพูชาเป็นอันระงับไป ซึ่งน่าสนใจว่าตกลงแล้วคนที่ไปเจรจาเป็นรัฐบาลหรือกองทัพกันแน่ เมื่อให้สุภลักษณ์ประเมินบทบาทของกองทัพในรัฐบาลอนุทินว่ามีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนในปมขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ลากต่อเนื่องมา เขามองว่า กองทัพกำหนดได้เกือบจะ 100% ว่าจะให้ความขัดแย้งยืดเยื้อต่อหรือพอแค่นี้ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการนำที่เข้มแข็งจากรัฐบาลพลเรือน แต่ในรัฐบาลอนุทินแตกต่างออกไปจากรัฐบาลที่แล้ว เพราะกองทัพกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้มากกว่า “สมัยคุณแพทองธารยังมีความไม่ไว้วางใจ เนื่องจากรัฐบาลของตระกูลชินวัตรถูกยึดอำนาจ 2 ครั้ง 2 ครา ความไม่ไว้วางใจระหว่างกองทัพกับพรรคเพื่อไทยมันมีอยู่สูงมาก เขาจะมีอาการที่เรียกว่าจ้องมองซึ่งกันและกัน แต่กับคุณอนุทินไม่เลย กองทัพสามารถขี่หลังได้ 100% ถ้าคุณไม่มีกองทัพหนุนอยู่ รัฐบาลคุณไม่รอด” สุภลักษณ์กล่าว นอกจากนั้นเขาเห็นว่า การเคลื่อนไหวและการตอบสนองของฝ่ายไทยล่าสุดในการระงับข้อตกลงสันติภาพก็ชี้ว่าฝ่ายอนุรักษนิยมและทหารสายเหยี่ยวของไทยยังไม่อยากหยุดความขัดแย้ง อีกทั้งการโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพเพิ่งผ่านไปเดือนกันยายน-ตุลาคม สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือแสดงว่าพวกเขาเข้มแข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้กัมพูชาเพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้สถานะทางการเมืองของกองทัพให้อยู่เหนือรัฐบาลต่อไป  สุภลักษณ์กล่าวว่า เหนือสิ่งอื่นใด พลเรือนกับกองทัพมีแนวคิดที่แตกต่างกัน กองทัพคิดแค่ว่าจะเอาชนะในสมรภูมิให้ได้ ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไหร่ และสังคมไทยตกอยู่ภายใต้แนวคิดทางทหารแบบนี้นานเกินไปจนถอนตัวไม่ขึ้น นั่นทำให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ นักวิชาการทั้งหลายพลอยคิดไปด้วยว่าเกียรติภูมิของชาติคือการยึดประสาทตาควายแล้วก็ไล่ ชาวกัมพูชาออกไปจากบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้วเพื่อให้ได้พื้นที่ไม่กี่ไร่ตามแนวตะเข็บชายแดนมา แล้วนักวิชาการก็มาอธิบายให้กลายเป็นเรื่องของเกียรติภูมิของชาติและอธิปไตยที่เป็นเรื่องนามธรรม  “คอมเมนเตเตอร์ทั้งหลายแหล่ที่ออกทีวีเป็น narrative ทางทหาร เขาไม่คำนึงเลยว่าเศรษฐกิจของเรากำลังกำลังจะมีปัญหา การค้ามันหยุดชะงักมา 3 เดือนแล้ว ความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนมันจะขนาดไหน เขาไม่คำนึงเลยว่าความจริงแล้ว เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงแรงงานกัมพูชาเป็นล้านหายไปเกือบหมดแล้ว จะอยู่ยังไง เขาไม่คำนึงเลยว่ากัมพูชาต่อต้านสินค้าไทยจะสร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของไทย เพราะฉะนั้นเมื่อเรื่องเล่าทางทหารครอบงำสังคมจนกระทั่งเราก็ถอนตัวไม่ขึ้น และเมื่อมีใครพูดถึงความเสียหายในทางเศรษฐกิจ คนนั้นๆ ก็จะโดนสังคมประณาม” * ข่าว * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี * ฮุน เซน * ฮุน มาเนต * อนุทิน ชาญวีรกูล
14.11.2025 14:35 — 👍 1    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
‘ณัฐพงษ์’ แย้ง ‘อนุทิน’ เปลี่ยนท่าทีใช้โลกล้อม ‘ฮุน เซน’ แทนฉีกสัญญาสันติภาพ ‘ณัฐพงษ์’ แย้ง ‘อนุทิน’ เปลี่ยนท่าทีใช้โลกล้อม ‘ฮุน เซน’ แทนฉีกสัญญาสันติภาพ ภาพจาก พรรคประชาชน admin666 Fri, 2025-11-14 - 18:22 “ณัฐพงษ์” เตือน “อนุทิน” ชี้ท่าทีพร้อมฉีกสัญญาสันติภาพกำลังทำไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก เตือนอย่าโหนกระแสชาตินิยมเพื่อปกป้องคะแนนนิยมและเบี่ยงประเด็น เสนอสื่อสารกับโลกให้ล้อม "ฮุน เซน" พร้อมปราบสแกมเมอร์ วันที่ 14 พ.ย. 2568 ฝ่ายสื่อสารของพรรคประชาชนเผยแพร่คำแถลงข่าวของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ต่อท่าทีของรัฐบาลไทยในการจัดการสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุดระหว่างไทยและกัมพูชา หลังเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดของทหารไทยและการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย ณัฐพงษ์ระบุว่าตนขอแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ จากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดที่ผ่านมา และขอประณามทุกการกระทำที่เป็นการลักลอบวางระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาในหลายประการ  อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนกลางดึกที่ผ่านมาได้มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวเบอนามา ซึ่งเป็นสื่อหลักของประเทศมาเลเซีย ถึงการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของมาเลเซีย ว่ายังคงเชื่อมั่นและหวังว่าการพูดคุยสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาจะยังคงเดินหน้าต่อไป ณัฐพงษ์กล่าวถึงท่าทีของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทยที่แสดงออกว่าจะไม่สนใจข้อตกลงสันติภาพนี้อีกต่อไปแล้ว หลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นในวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมาอาจทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  “ไทยกลายเป็นฝ่ายด่วนประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้เสียเอง แทนที่จะใช้โอกาสนี้ในการตอกย้ำถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของกัมพูชา และขอระดมความร่วมมือจากทั่วโลกในการกดดันกัมพูชาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามสแกมเมอร์” หัวหน้าพรรคประชาชนระบุ ณัฐพงษ์กล่าวว่าการแสดงออกของอนุทินจะทำให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบประกอบด้วยเหตุผล 5 ประการหลัก คือ 1) ประเทศไทยเป็นฝ่ายประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้ก่อน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่กำลังทำให้กัมพูชาเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์  2) แทนที่ประเทศไทยจะเป็นฝ่ายแจ้งสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนก่อนถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีกลับปล่อยปละละเลยเวลาให้ผ่านออกไป จนกลายเป็นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเองที่แสดงบทบาทเตือนทั้งไทยและกัมพูชาก่อนเองว่าอย่าละเมิดข้อตกลงสันติภาพ 3) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4 วันนี้ กัมพูชาได้อาศัยการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทยในการกลับไปเล่นบทบาทเดิม นั่นคือการปฏิบัติการยั่วยุและการสร้างข่าวเพื่อสร้างความเกลียดชังในเวทีโลก โดยใช้โครงเรื่องเดิมที่กัมพูชาทำมาโดยตลอด คือการเล่นบทเหยื่อและสร้างภาพว่าประเทศไทยกำลังรังแกประเทศที่ด้อยกว่า 4) กัมพูชามีที่ยืนในเวทีโลกเพิ่มขึ้นจากการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาจากการเล่นบทเหยื่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กัมพูชากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู โลกกำลังล้อมกัมพูชาในเรื่องการปราบสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่กำลังหล่อเลี้ยงรัฐบาลฮุนเซน ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าขณะที่โลกกำลังล้อมฮุน เซนด้วยประเด็นสแกมเมอร์ การแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีกำลังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจสังคมออกจากปัญหาดังกล่าว ทั้งที่รัฐบาลกำลังถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงไม่จัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผนวกกับก่อนหน้านี้มีกรณีที่บุคคลในคณะรัฐมนตรี เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ประกาศลาออกลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็ได้พูดต่อสาธารณะว่าเป็นคนร้องขอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่งเอง แต่นายกรัฐมนตรีกลับปล่อยปละละเลย ไม่ได้ร้องขอบุคคลอื่นๆ อย่างเช่นรองนายกรัฐมนตรี ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่อาจมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มทุนเทาต่างๆ หัวหน้าพรรคประชาชนยังวิจารณ์อนุทินที่เลือกโหนกระแสชาตินิยมเพื่อปกป้องคะแนนนิยมของตัวเอง และกลบเกลื่อนการจัดการปัญหาสแกมเมอร์และขบวนการฟอกเงินที่กำลังกระทบรัฐบาลในขณะนี้ ณัฐพงษ์เสนอมาตรการจัดการปัญหาไทย-กัมพูชา หยุดการคุกคามสันติภาพและความมั่นคงของไทยอย่างเด็ดขาด แทนการประกาศพร้อมฉีกข้อตกลงสันติภาพนี้ คือ 1) การพูดคุยโดยตรงกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและจีน ให้พิจารณาตัดการสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจต่อกัมพูชา เพื่อจบปัญหาสแกมเมอร์อันเป็นภัยต่อประชาชนทั้งโลก รวมถึงจีนและสหรัฐอเมริกา 2) ไทยควรตั้งผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับนานาชาติในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานด้านการปราบปรามสแกมเมอร์ เช่นเดียวกับการพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ International Anti-Corruption Coordination Centre (IACCC) เพื่อประสานให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาร่วมสืบสวนในกรณีดังกล่าวในประเทศไทยได้ 3) สิ่งที่รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการได้ทันทีคือการอายัดทรัพย์และสืบเส้นเงินเครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศไทย เพื่อสาวถึงต้นตอของผู้บงการ ไม่ใช่การจับเพียงปลาตัวเล็กตัวน้อยเพื่อรักษาภาพของรัฐบาลต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่ไทยต้องการตอนนี้คือการรักษาความน่าเชื่อถือของประเทศว่าไม่ใช่แหล่งฟอกเงินหรือแหล่งทุนเทา ที่เป็นปัญหาหลอกลวงคนทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน “ประเทศไทยในปัจจุบันต้องการนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ ตอบโต้อย่างมีสติและได้สัดส่วน และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้งมากกว่าการรักษาคะแนนความนิยมของตัวเอง ตนขอเรียกร้องดึงสตินายกรัฐมนตรีให้กลับมา และเร่งดำเนินการทั้ง 3 มาตรการข้างต้นในทันที” ณัฐพงษ์ยังกล่าวว่าข้อตกลงสันติภาพที่เกิดขึ้นที่กัมพูชาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ประกอบด้วยเรื่องการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นการผิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และเรื่องสแกมเมอร์ ดังนั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรจะดำเนินการในการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพและไทยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อย่างไรก็ต้องยึดหลักกลับมาในกติกาสากลหรือข้อตกลงสันติภาพ ที่ประเทศไทยเองได้ทำเอาไว้ โดยมีสหรัฐอเมริกาหรือประเทศมหาอำนาจต่างๆ เป็นพยานร่วมกัน แทนที่จะประกาศฉีกข้อตกลงนี้เองโดยการโหนกระแสชาตินิยมในการปกป้องคะแนนนิยมทางการเมืองของตัวเอง * ข่าว * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ * อนุทิน ชาญวีรกูล
14.11.2025 12:06 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
นายกฯ เผย ปธน.สี จิ้นผิง กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ในหลวง จีนซื้อข้าวไทย 5 แสนตัน นายกฯ เผย ปธน.สี จิ้นผิง กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ในหลวง จีนซื้อข้าวไทย 5 แสนตัน ภาพปก: สี จิ้นผิง เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มา: วิดีโอทางเพจ Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย   See Think Fri, 2025-11-14 - 18:45 14 พ.ย. 2568 เวลา 13.25 น. อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  โพสต์ทางเฟซบุ๊กว่า “ปธน.สี จิ้นผิง กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ในหลวง จีนซื้อข้าวไทยห้าแสนตัน”  โดยนายกรัฐมนตรีอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 13 - 17 พฤศจิกายน 2568  วานนี้ (13 พ.ย.) เวลา 07.45 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 13 - 17 พฤศจิกายน 2568 ว่า ทุกครั้งที่องค์พระประมุขของชาติเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ รัฐบาลจะต้องมีรัฐมนตรีเกียรติยศตามเสด็จพระราชดำเนิน ซึ่งในครั้งนี้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ตนและนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตามเสด็จในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ ยืนยันว่าไม่มีภารกิจเพิ่มเติม แต่เป็นเพียงองค์ประกอบของขบวนเสด็จเท่านั้น การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ อันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่ความทรงจำ และเป็นการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน โดยแท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้ดำเนินมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * ต่างประเทศ * จีน * ข้าว * รัชกาลที่ 10 * สีจิ้นผิง * อนุทิน ชาญวีรกูล
14.11.2025 11:57 — 👍 2    🔁 1    💬 0    📌 0
Preview
ทบ.โต้ ‘กัมพูชา’ ผิดวิสัย รีบเผาคนตายก่อนชันสูตร AOT ไม่ทันตรวจสอบ ทบ.โต้ ‘กัมพูชา’ ผิดวิสัย รีบเผาคนตายก่อนชันสูตร AOT ไม่ทันตรวจสอบ ภาพจาก ทีมโฆษกกองทัพบก Army Spoke Team admin666 Fri, 2025-11-14 - 17:45 "วินธัย” ตั้งข้อสังเกตคำกล่าวหาของกัมพูชาที่อ้างว่าทหารไทยยิงประชาชนกัมพูชาเสียชีวิต ไม่ชันสูตรคนตายก่อนเผาทั้งที่ตายผิดธรรมชาติ ไม่แสดงหลักฐานให้ทีมสังเกตการณ์อาเซียน เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดกล่าวหาไทย ทบ.ยังพร้อมเตรียมกำลังพิทักษ์อธิปไตยและป้องกันตนเองตามกฎบัตร UN 14 พ.ย.2568 เพจของ ทีมโฆษกกองทัพบก Army Spoke Team ลงคำชี้แจงของ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ต่อคำกล่าวหาของทางกัมพูชาที่อ้างว่าทหารไทยยิงใส่พลเรือนบริเวณหมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย เมื่อ 12 พ.ย.68 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ซึ่งโฆษกกองทัพบก ได้ตั้งข้อสังเกตว่าคำกล่าวหาของกัมพูชามีพิรุธว่าผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอาจไม่ได้เกิดจากการยิงของทหารไทย โดยระบุไว้ดังนี้ 1. กรณีเรื่องศพประชาชนกัมพูชาที่กล่าวอ้างว่าถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์การปะทะ และได้ฌาปนกิจเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.68 นั้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดวิสัย ทั้งที่เป็นการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติ ทั้งที่แท้จริงแล้วควรมีการชันสูตรพลิกศพก่อน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเหมือนเป็นการจงใจปกปิดหลักฐานที่ได้บิดเบือนไว้ 2. ที่ผ่านมากรณีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หากกัมพูชาต้องการเรียกร้องความสนใจต่อสังคมโลก หรือกล่าวโทษต่อฝ่ายไทย ก็มักจะใช้วิธีเปิดเผยหลักฐานและประโคมข่าวใหญ่โต แต่กรณีศพผู้เสียชีวิตดังกล่าวกลับไม่กระทำเช่นนั้น ทั้งที่มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) อยู่ระหว่างการลงพื้นที่เข้าตรวจสอบหลักฐาน ในวันที่ 13 พ.ย.68 ที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อสังเกตดังกล่าวอาจเป็นไปได้ว่า ไม่มีศพผู้เสียชีวิตจริง หรือไม่ใช่ผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการปะทะกันตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง 3. ทางการกัมพูชาควรออกมาชี้แจงในประเด็นที่ปรากฏคลิปวิดีโอการให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลสาธารณสุข จ.บันเตียเมียนเจย ขณะต้อนรับคณะ AOT เข้าเยี่ยมอาการผู้บาดเจ็บและระบุว่า “จากเหตุการณ์ปะทะที่ผ่านมา มีผู้บาดเจ็บจำนวน 3 คน และไม่มีผู้เสียชีวิต ขอให้สื่อได้นำเสนอข่าวที่ถูกต้องต่อสังคม” ซึ่งถือว่าขัดแย้งกับการนำเสนอข่าวของทางการกัมพูชาอย่างชัดเจน 4. เมื่อสังเกตจากภาพที่ประชาชนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บและนำส่งโรงพยาบาล พบว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยบาดแผลที่เกิดจากอาวุธปืนทางทหารในระยะ 500 – 800 เมตร จะต้องมีลักษณะฉกรรจ์และรุนแรงกว่าภาพที่ปรากฏในข่าว รวมทั้งภาพที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บกลับมีรอยยิ้มและอาการที่ไม่เหมือนถูกยิงจากอาวุธปืนแต่อย่างใด โฆษกกองทัพบก กล่าวต่อว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏข้างต้นเป็นการยืนยันว่ากัมพูชาพยายามสร้างสถานการณ์ จัดฉากว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ถูกกระทำจากไทย ทั้งที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มดำเนินการละเมิดปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา และให้ข้อมูลบิดเบือนต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง  “กองทัพบกขอให้กัมพูชาหยุดการกระทำต่างๆ ที่จะสร้างความขัดแย้งและความเป็นปรปักษ์ในพื้นที่ชายแดนเพิ่มมากขึ้น และขอยืนยันในภารกิจของกองทัพบก ที่มีความพร้อมของการเตรียมกำลังเพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตย และดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งปัจจุบันหน่วยส่วนกลางและกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบกได้ติดตามเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากพบความผิดปกติหรือภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ กองทัพบกพร้อมดำเนินการตามสิทธิ์ในการป้องกันตนเองตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติในทันที” เพจทีมโฆษกระบุ * ข่าว * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * วินธัย สุวารี * กองทัพบก
14.11.2025 11:16 — 👍 0    🔁 1    💬 0    📌 0
Preview
พท.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. ล็อตที่ 4 เพิ่มอีก 11 คน นนทบุรีครบทุกเขต ‘สมนึก’ นายกเล็กนนท์โผล่ร่วมงาน พท.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. ล็อตที่ 4 เพิ่มอีก 11 คน นนทบุรีครบทุกเขต ‘สมนึก’ นายกเล็กนนท์โผล่ร่วมงาน See Think Fri, 2025-11-14 - 17:48 พท.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. ล็อตที่ 4 เพิ่มอีก 11 คน นนทบุรีครบทุกเขต ‘สมนึก ธนเดชากุล’ นายกเทศมนตรีเมืองนนทบุรี โผล่ร่วมงาน 14 พ.ย. 2568 เวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย, วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พะเยา และรองหัวหน้าพรรค, สรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และรองหัวหน้าพรรค, มนพร เจริญศรี สส.นครพนม และรองหัวหน้าพรรค และ พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคร่วมเปิดผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. พรรคเพื่อไทยอีกจำนวน 11 คน รวมมีผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.แล้ว 271 เขตเลือกตั้ง เตรียมสู้ศึกชิงชัยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ รายชื่อผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ในวันนี้ มีดังต่อไปนี้ * นายวิทยา มาลา ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. พิจิตร * นายจอมจักรภพ วัชระจินดาวัฒนะ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ชัยภูมิ * นางสาวณิชาภา โกวิทานนท์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.สมุทรสงคราม * นายวิรัตน์ เกียรติสันติกุล ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นนทบุรี * นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นนทบุรี * นางสาวดาราวรรณ อัจฉริยะประสิทธิ์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นนทบุรี * นายมนตรี ตั้งเจริญถาวร ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นนทบุรี * นายวัชยธนันท์ อัศวนิโครธร ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นนทบุรี * นายประถมการ อ่วมอ่อง ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส * นายภณณัฏฐ์ ศรีอินทร์สุทธิ์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. * นายจำลอง ขำสา นายผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นนทบุรี เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครในครั้งนี้ มี สมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี ซึ่งอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวมากว่า 45 ปี ที่มีความสนิทสนมกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาร่วมงานนี้ด้วย * ข่าว * การเมือง * พรรคเพื่อไทย * นนทบุรี * สมนึก ธนเดชากุล
14.11.2025 10:54 — 👍 0    🔁 0    💬 0    📌 0
Preview
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัว ‘อานนท์ นำภา’ ระบุ “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัว ‘อานนท์ นำภา’ ระบุ “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” ภาพจาก อานนท์ นำภา (แฟ้มภาพ) See Think Fri, 2025-11-14 - 17:09 14 พ.ย. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนโพสต์แจ้งข่าวทางเอกซ์ว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องการประกันตัว อานนท์ นำภา ในคดี ม.112 จำนวน 6 คดี หลังทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวไปเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา คำสั่งยกคำร้องระบุโดยสรุปว่า “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” สำหรับคดีที่ยื่นขอประกันตัวไปในครั้งนี้ ได้แก่ คดีปราศรัย ม็อบ14ตุลา63, คดีโพสต์ 2 ข้อความในเฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 10, คดีราษฎรสาส์น โพสต์จดหมายข้อความถึงกษัตริย์, คดีปราศรัย ม็อบแฮรี่พอตเตอร์1, คดีโพสต์ 3 ข้อความในเฟซบุ๊ก และคดีชุมนุมม็อบ17พฤศจิกา63 หน้ารัฐสภา อานนท์ยังถูกขังระหว่างอุทธรณ์อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 781 วันแล้ว หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดี ม.112 จำนวน 10 คดี และโทษจำคุกในคดีต่างๆ ที่ยังไม่สิ้นสุดรวมกัน 26 ปี 37 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 29 ปี 1 เดือนเศษ * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * คดีมาตรา 112 * สิทธิการประกันตัว * อานนท์ นำภา
14.11.2025 10:13 — 👍 0    🔁 1    💬 0    📌 0
Preview
‘ปรากฏการณ์ AI ลวง' แวดวงวิชาการฮ่องกงสะเทือน หลังพบงาน ป.เอก ใช้ AI สร้างอ้างอิงเทียม 20 จุด ‘ปรากฏการณ์ AI ลวง' แวดวงวิชาการฮ่องกงสะเทือน หลังพบงาน ป.เอก ใช้ AI สร้างอ้างอิงเทียม 20 จุด ภาพปก: ประตูฝั่งตะวันตก ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ถ่ายเมื่อ 8 พ.ค. 2551 (ที่มา: wikicommon) XmasUser Fri, 2025-11-14 - 12:32 คงไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในปัจจุบัน กับการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ในเวลาเดียวกัน ในวงการวิชาการของฮ่องกงตอนนี้กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "AI ลวง" หรือการใช้ AI สร้างข้อมูลเทียมที่ดูน่าเชื่อถือขึ้นมา เพราะว่าเมื่อ ต.ค. 68 มีการตรวจสอบพบเปเปอร์วิชาการเขียนโดยนักศึกษาปริญญาเอก ใช้แหล่งอ้างอิงที่สร้างโดย AI และไม่มีอยู่จริง จำนวน 20 จุดด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้อาจสะท้อนปัญหาจรรยาบรรณ และกระทบความน่าเชื่อถือของแวดวงวิชาการฮ่องกง   ทางมหาวิทยาลัยฮ่องกง (The University of Hong Kong) ระบุว่า พวกเขาจะดำเนินการทางวินัยอย่างเหมาะสมกับการละเมิดหลักจรรยาบรรณและมาตรฐานทางวิชาการที่พวกเขาตรวจพบจากเปเปอร์วิชาการที่ชื่อ "Forty years of fertility transition in Hong Kong" ซึ่งเป็นงานวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ "China Population and Development Studies" มีการใช้เอไอลวง สร้างแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่ไม่มีข้อมูลอยู่จริงขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่างานวิชาการดังกล่าวนี้จะทำผิดในเรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ใส่อ้างอิงเทียม แต่ Paul Yip ศาสตรเมธาจารย์ด้านสาธารณสุขประชากรศาสตร์ มหาวิทยาลัย HKU หนึ่งในผู้ร่วมเขียนงานวิจัยนี้ได้เปิดเผยว่า ถึงแม้จะมีการใช้งานเอไอ เพื่อ "ช่วยจัดระเบียบ" ให้กับการอ้างอิงจริง แต่ก็ไม่ได้มีการใช้เอไอกับตัวเนื้อหาเลย และยืนยันว่าตัวเนื้อหาไม่ได้มีการแต่งขึ้นเองแต่อย่างใด และผ่านการตรวจสอบแล้ว 2 รอบ Yip กล่าวขอโทษและขอรับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้นกับงานวิชาการนี้ในฐานะผู้ร่วมเขียนงาน เขาบอกว่าตัวเขาเองก็รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกว่าหลังจากนี้จะมีการจัดให้นักศึกษาลงเรียนคอร์สวิชาการใช้เอไอให้ดีขึ้นก่อน โดยที่ Yip เป็นที่รู้จักในฐานะของคนที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่องเทรนด์การฆ่าตัวตายในฮ่องกง สำหรับงานวิชาการ "Forty years of fertility transition in Hong Kong" มีผู้เขียนหลักคือ Bai Yiming นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU) โดยมี Yip เป็นผู้เขียนร่วม และมีผู้เขียนร่วมคนอื่นๆ อีก 4 คน หนึ่งในนั้นคือ Billy Li นักวิจัยของสำนักงานสัมมะโนประชากรและสถิติของรัฐบาลฮ่องกง สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องที่มีการใช้เอไอระบุแหล่งอ้างอิงที่ไม่มีอยู่จริงนั้น ทาง HKU ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่าจะมีการแก้ไขในเรื่องนี้โดยการวางนโยบายที่เข้มงวดขึ้นและวางแนวทางปฏิบัติในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิจัยทางวิชาการ พวกเขามองว่าข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องจริงจังมาก และจะทำการสืบสวนในเรื่องนี้อย่างเป็นไปตามระเบียบการต่อไป มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่าเปเปอร์งานวิจัยชิ้นนี้ยังได้นำเสนอข้อมูลภูมิหลังของผู้ร่วมเขียนงานวิจัยแบบขัดแย้งกันเอง คือ ภูมิหลังของ KP Wat, Eddy Lam และ BK So โดยในช่วงที่มีการแนะนำตัวผู้เขียนในเปเปอร์ระบุว่า Wat และ Lam เป็นนักวิชาการของ HKU ส่วน So นั้นมาจากมหาวิทยาลัยจี้หนาน มณฑลกว่างโจว แต่ในอีกส่วนหนึ่งที่ระบุถึงผู้เขียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง กลับระบุว่า Wat และ Lam มาจากมหาวิทยาลัยเมโทรโปลิแทนฮ่องกง ซึ่งเป็นคนละที่กับ HKU และระบุว่า So มาจากมหาวิทยาลัยจี๋หลินในเมืองฉางชุน หรือเรื่องนี้จะสะท้อนปัญหาการตีพิมพ์เผยแพร่ทางวิชาการในฮ่องกง มีข้อสังเกตอีกว่า การอ้างอิงที่ใช้เอไอทำขึ้นและไม่มีอยู่จริงนั้นมีอยู่ถึง 1 ใน 3 ของการอ้างอิงทั้งหมดในเปเปอร์ที่เป็นปัญหา และถึงแม้จะมีจุดที่พลาดจำนวนมากถึง 20 แห่ง แต่กลับผ่านการตรวจประเมินโดยคณะผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่ากระบวนการ Peer Review มาได้ ในรายงานของมหาวิทยาลัยแฮรัลด์ (University Herald) ระบุว่า งานวิชาการ "Forty years of fertility transition in Hong Kong" ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ มันดูเหมือนงานวิชาการเชิงวิเคราะห์ประชากรที่มีออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำในวารสาร แต่ก็มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ว่า เพื่อนเขามองว่างานวิจัยนี้มีความน่าสงสัยอยู่ จนกระทั่งพบว่ามีการอ้างอิงที่ใช้เอไอสร้างขึ้น และไม่มีอยู่จริง จำนวน 20 แห่งจากแหล่งอ้างอิงทั้งหมด 61 แห่ง ทำให้มีการเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น "AI ลวง" ซึ่งหมายถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างข้อมูลเทียมขึ้นมา แล้วดูเหมือนจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ ที่น่าเป็นห่วงคือมันสามารถหลอกกระบวนการตรวจสอบทางวิชาการได้ จนกระทั่งมีการตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาด้วย แล้วเอไอลวงที่ว่านี้ทำงานอย่างไร มันคือการที่เวลานักวิจัยใช้เครื่องมือเอไออย่าง ChatGPT เพื่อช่วยทบทวนวรรณกรรมหรือสร้างการอ้างอิง แล้วตัวเอไอพวกนี้จะไม่ค้นหาฐานข้อมูลเปเปอร์งานวิชาการที่มีอยู่จริง แต่พวกมันจะทำนายว่าคำอ้างอิงที่น่าเชื่อถือน่าจะดูเป็นอย่างไร แล้วก็สร้างการอ้างอิงนั้นขึ้นมาเอง โดยพิจารณาจากแบบแผนในข้อมูลที่ใช้ฝึกฝนเอไอเหล่านั้น ผลที่ตามมาคือ การอ้างอิงข้อมูลจะเป็นไปตามแบบแผนการอ้างอิงทางวิชาการ มีหัวข้อของแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงมาฟังดูน่าเชื่อถือ มีชื่อผู้เขียนที่ดูน่าจะมีอยู่จริง และมีชื่อดูเหมือนจะเป็นการอ้างอิงทางวิชาการจริงๆ เพราะเอไอได้เรียนรู้ไว้แล้วว่าการอ้างอิงทางวิชาการต้องนำเสนอออกมาในรูปแบบไหน เว้นแต่ว่าสิ่งที่เอไอสร้างขึ้นมานั้นไม่ได้มีอยู่จริงเลย ด้วยความที่เอไอได้สร้างการอ้างอิงที่ดูน่าเชื่อถือมาก ทำให้ตรวจจับได้ยากถ้าไม่ไปไล่ตรวจดูแหล่งที่มาเป็นรายชิ้น เพราะมันไม่ได้มีการสะกดผิดหรือมีความผิดพลาดเรื่องแบบฟอร์มเลย คือถ้าผู้ตรวจพิจารณาดูผ่านๆ แล้วจะไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติเลย เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาสำหรับ "Peer Review" ที่ต้องทำงานหนักขึ้นในการตรวจสอบงานวิจัยพวกนี้ ทั้งที่พวกเขามักจะได้ทำงานพวกนี้แบบเป็นงานอาสาไม่มีค่าจ้าง การจะไล่ตามค้นหาแหล่งอ้างอิงทุกแหล่งว่ามีอยู่จริงหรือไม่นั้นก็เป็นงานที่ยากมาก เพราะงานวิจัยที่ส่งเข้ามาให้ตรวจสอบก็มีเป็นร้อยๆ ชิ้นในแต่ละปี อีกทั้งการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบรรณาธิการงานวิชาการนั้นๆ ด้วยว่าจะให้ใครเป็นผู้ตรวจสอบการอ้างอิง ปัญหาของงานวิชาการจาก HKU ในครั้งนี้อาจจะก่อปัญหาเรื่องความไม่ไว้วางใจต่องานวิชาการ ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สะท้อนให้เห็นช่องว่างของการกำกับดูแลงานวิชาการในยุคสมัยชของเอไอด้วย ทำให้มีการเสนอทางแก้ไขปัญหาหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการออกนโยบายกำกับดูแลการใช้ปัญญาประดิษฐ์กับงานวิชาการ การอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วยในการตรวจจับการใช้เอไอ การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวิชาการจากเดิมที่กดดันให้นักวิชาการต้องมีงานวิจัยตีพิมพ์เท่านั้นถึงจะอยู่รอดในวงการได้ การเพิ่มทรัพยากรในทางบรรณาธิการ การกำหนดให้มีความโปร่งใสโดยต้องระบุว่ามีการใช้เอไอหรือไม่ในส่วนไหนบ้าง รวมถึงการกำหนดบทลงโทษต่อผู้ฝ่าฝืนหลักจรรยาบรรณงานวิขาการ หรือให้รางวัลต่อการพิสูจน์ยืนยันที่มีความระมัดระวัง   เรียบเรียงจาก University of Hong Kong probes non-existent AI-generated references in paper; prof. says content not fabricated, HKFP, 10-11-2025 https://hongkongfp.com/2025/11/10/university-of-hong-kong-probes-non-existent-ai-generated-references-in-paper-prof-says-content-not-fabricated/ 20 Fake Citations Slip Past Peer Review: AI 'Hallucinations' Expose Crisis in Academic Publishing, University Herald, 10-11-2025 https://www.universityherald.com/articles/79947/20251110/20-fake-citations-slip-past-peer-review-ai-hallucinations-expose-crisis-academic-publishing.htm * ข่าว * การศึกษา * ต่างประเทศ * ไอซีที * เอไอ * ปัญญาประดิษฐ์ * งานวิชาการ * การอ้างอิง * บรรยาบรรณทางวิชาการ * มหาวิทยาลัยฮ่องกง * ฮ่องกง * จีน
14.11.2025 05:57 — 👍 0    🔁 1    💬 0    📌 0