แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะมองไม่ออกว่ารูปไหนสวยหรือไม่สวย
พอไฟเย็นใกล้จะหมดพาตก็หยิบไฟเย็นแท่งใหม่ขึ้นมา จี้ส่วนปลายของมันไปที่จุดความร้อนของแท่งเดิมที่ใกล้จะหมด พอทำแบบนั้นแล้วอีกแท่งก็จุดติดขึ้นมาแบบเดียวกันโดยไม่ต้องจุดไฟแช็ค
@paat-tbu.bsky.social
พาต | เภสัชฯ ปี 5 | #TBU_COMMU
แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะมองไม่ออกว่ารูปไหนสวยหรือไม่สวย
พอไฟเย็นใกล้จะหมดพาตก็หยิบไฟเย็นแท่งใหม่ขึ้นมา จี้ส่วนปลายของมันไปที่จุดความร้อนของแท่งเดิมที่ใกล้จะหมด พอทำแบบนั้นแล้วอีกแท่งก็จุดติดขึ้นมาแบบเดียวกันโดยไม่ต้องจุดไฟแช็ค
"ก็แค่อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กนั่นแหละครับ"
แต่เพราะเรื่องนั้นถึงได้รู้ว่าที่มันไม่ร้อนจนเรียกว่าไฟเย็นมีแค่ประกายไฟที่พุ่งออกมาเท่านั่น
มือถือไฟเย็นนิ่งไว้ให้อีกคนถ่าย ระหว่างนั้นก็เหม่อมองไฟที่ค่อย ๆ ไล่ต่ำลงมาใกล้เรื่อย ๆ จนอีกคนถ่ายเสร็จ
"ครับ สวยดี"
พาตไม่ได้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพมากนัก ปกติก็มักจะถ่ายด้วยโหมดออโต้ของกล้องมือถืออยู่แล้ว +
"ถ้าแค่มือก็ได้ครับ"
ถ้าไม่เห็นหน้าเขาก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ ว่าแล้วก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายบ้าง ด้วยการยื่นไฟเย็นไปด้านหน้าให้พอเห็นอีกคนอยู่ในเฟรมแค่ช่วงตัวที่ถือไฟเย็นอยู่
พาตรับไฟเย็นที่ถูกยื่นมาให้ และเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไฟที่ปะทุออกมามันไม่ร้อนเลยลองเอามือไปอังให้มันกระทบกับฝ่ามือก่อนจะปล่อยออก เป็นการกระทำด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เคยทำในวัยเด็ก แต่เพราะไม่ได้เล่นนานเลยอยากลองทำอีกสักครั้งดู
"ตอนเด็ก ๆ ผมเคยจับตรงกลางที่สว่างเพราะคิดว่ามันไม่ร้อนเหมือนชื่อไฟเย็นด้วย"
เป็นความใสซื่อของเด็กประถมที่จบด้วยแผลพองที่มือ +
พาตจุดไปแช็คขึ้นมารออีกคน พอไม่ค่อยมีคนแล้วลมก็พัดมาโกรกให้พอรู้สึกสดชื่น แต่เพราะแบบนั้นเลยต้องใช้อีกมือป้องไฟไว้ แม้จะรู้ว่ามันไม่ดับแน่นอน แต่เขาก็ไม่อยากให้มันลมมันพัดทิศทางของไฟมาลนนิ้วตัวเอง
28.09.2025 16:04 — 👍 0 🔁 0 💬 1 📌 0"นี่ครับ"
รู้คิวว่าจะต้องใช้ พาตเลยหยิบไฟแช็คมายื่นให้ก่อนที่อีกคนจะถามหา หน้าตามันไม่ต่างกับไฟแช็คที่ซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
"ถ้ามาช้ากว่านี้คงหมดแล้วนะครับ"
ถ้าหาอะไรกินต่ออีกหน่อยหรือนั่งกินนานว่านี้ก็อาจจะได้อดเล่นจริง ๆ พอคิดแบนั้นแล้วก็กลับรู้สึกว่าที่อิ่มไปก่อนกลายเป็นเรื่องดีขึ้นมาซะอย่างนั้น +
ความคิดแรกเขาเกือบจะหันไปถามหาไฟแช็คจากคนที่มาด้วยกัน แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองก็สูบบุหรี่ ของแบบนั้นเลยกลายเป็นไอเทมติดตัวไปโดนปริยาย
แต่มือข้างที่ว่างจับกระเป๋าเช็คให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ในที่ของมัน ความคิดนั้นจึงจบในหัวตัวเองแทนที่จะได้พูดอะไรออกไป
"ถ้าไม่เฉลยล้อตัวเองก่อนก็อาจจะเขินก็ได้ครับ"
แต่เพราะอีกฝ่ายชิงเล่นตัวเองก่อนเลยมีแต่ความรู้สึกขำปนเอ็นดู
สายตาเหลือบมองมือที่ยื่นมาแล้วจับเหมือนก่อนหน้า ใช้เวลาคิดในหัวพลางมองซ้ายมองขวาไม่นานก็เดินจูงคนอายุน้อยกว่านำไปก่อน
"ทางนั้นครับ"
พูดถึงไฟเย็นแล้วก็นึกขึ้นได้ระหว่างเดินว่าควรจะมีอะไรสักอย่างที่จุดไฟได้ไปด้วย เพราะคิดว่าที่ร้านคงไม่มีให้ +
"ยอมรับเองเลยเหรอครับ"
แถมยังเคลมบทพระเอกซะด้วย คำแซวกลบเกลื่อนอารมณ์เคอะเขินจากช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อครู่ แต่ในใจก็รับคำอวยพรจากอีกฝ่ายไว้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
มองกระดาษที่ถูกเอาไปผูกให้ไม่ละสายตาจนกระทั่งแล้วเสร็จ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะน้อย ๆ เอ็นดูในความซื่อสัตย์ของอีกคน
"?"
เพราะบอกก่อนจะทำพาตจึงยืนนิ่งให้เปอร์เอาใบไผ่ที่ตัวเองไม่ทันรู้ตัวว่ามีออกไปได้โดยดี ไม่มีท่าทีขัดขืนอะไร
สายตาเหลือบมองเจ้าของเสียงพึมพำที่อยู่ใกล้จนคิดว่าคนอื่นน่าจะไม่ได้ยินเสียงนี้ด้วย แต่ด้วยระยะนี้ก็เป็นพาตที่ขยับออกมาก่อนในตอนที่อีกฝ่ายพูดจบ +
กระดาษที่ห้อยอยู่กับเชือกหมุนไปมาตามการเคลื่อนไหวระหว่างผูก หรือบางส่วนก็อาจจะมาจากสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาเป็นระยะ ๆ ให้รู้สึกไม่ร้อมอบอ้าวแม้จะอยู่ในที่ที่คนพลุกพล่าน
[ ขอให้ที่บ้านให้อิสระมากกว่านี้ ]
ข้อความแนวนอนตามความยาวกระดาษแทนที่จะเขียนด้วยแนวตั้งจากด้านที่หันหลังให้ถูกหมุนกลับไปกลับมาด้วยแรงเหล่านั้น ลายมือของพาตจัดว่าสวยอ่านง่าย ถ้าตั้งใจมองก็คงไม่ยากที่จะรู้เนื้อหา
อันที่จริงตัวเขากับอีกฝ่ายก็ไม่ได้สูงต่างกันมาก แต่เดาจากสายตาแล้วอีกคนคงเล็บจะผูกในตำแหน่งที่เขาคิดว่าคงลำบากตัวเอง การตัดปัญหาให้อีกฝ่ายจัดการจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับเขา
"หลับตาแล้วจะผูกยังไงล่ะครับ"
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยอมส่งกระดาษของตัวเองให้คนตัวสูงกว่าเอาไปผูก ซึ่งก็เลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะเห็นเนื้อหาที่เขียนไปอยู่ดี +
พาตคิดอยู่พักใหญ่ว่าจะเขียนสิ่งที่คิดลงไปดีไหม แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่พึ่งคุยกันว่าไม่ควรบอกคำเขากันสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเขียนมันลงไป
"ครับ เสร็จแล้ว"
คว่ำกระดาษไว้ในตอนที่เก็บปากกาเมจิกเข้าที่เดิม ตอนที่หยิบขึ้นมาก็หันให้หน้าที่มีคำขอหันเข้าหาฝ่ามือ แล้วมองซ้ายมองขวาหาต้นไผ่ที่จะผูกมัน
มองสายตาละห้อยนั้นก็นึกถอนหายใจเบา ๆ ยื่นมือไปลูบหัวปอย ๆ แทนคำปลอบก่อนจะหันไปหยิบปากกาเมจิก
เขาสุ่มหยิบกระดาษโดยไม่ได้คำนึงเรื่อยสี แต่ก็เลือกหยิบปากกาที่คิดว่าน่าจะอ่านง่ายสำหรับสีกระดาษที่ได้มา
สายตาชำเลืองมองท่าทางของคนที่พึ่งบอกว่าแยกกันเขียนแล้วก็แอบหัวเราะเบา ๆ พอหันกลับมาทางตัวเองก็ใช้มือซ้ายบังกระดาษไว้คล้ายเวลาไม่อยากให้ใครลอกข้อสอบ +
มองหาโต๊ะสำหรับเขียนที่พอจะว่างให้พวกเขาใช้ พอดีกับที่คู่แม่ลูกที่เจอก่อนหน้านี้ผละออกจากโต๊ะพอดีให้พวกเขาได้เข้าไปใช้ต่อ
บนโต๊ะมีกระดาษที่มีเชือกและปากกาเมจิกสีสันต่าง ๆ ถูกเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ
พาตจำเป็นต้องปล่อยมือที่กุมอยู่เพื่อร่วมกิจกรรมตรงหน้า
ขมวดคิ้วมองคนล้อเลียนแบบที่ในใจก็ไม่ได้นึกถือโทษนัก แต่ก็เลือกตัดวงจรความขัดเขินตัวเองด้วยการเงียบ แล้วใช้ช่วงเวลานั้นรีบปรับอารมณ์และสีหน้าตัวเองให้กลับเป็นปกติ
มองลานกิจกรรมที่มีคนขวักไขว่ไม่ต่างกับโซนร้านค้าสลับกับมองต้นไผ่ที่เต็มไปด้วยกระดาษสีผูกห้อยอยู่ ในนั้นคงเต็มไปด้วยคำขอของคนที่มาก่อนหน้าพวกเขา
"เหลือแหละครับ งานพึ่งจะวันแรกเอง"
พูดจบก็เป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน+
"ปีหน้าผมก็ปี 6 แล้ว หวังว่าถึงตอนนั้นจะมาได้นะครับ"
ถึงปีนี้จะพอหาเวลาได้แต่ปีหน้าเขาก็ไม่แน่ใจ แม้จะอยากมาแค่ไหนก็ไม่กล้ารับปากกับปัจจัยเรื่องเรียนที่เขาไม่ได้เป็นคนกำหนด
เสียงกระซิบข้างหูทำให้พาตสะดุ้งถอยออกมาก้าวนึง แต่มือที่จับไว้ก็ยังคงอยู่ แถมบีบแน่นขึ้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
กำปั้นหลวม ๆ ต่อยเข้าที่ไหล่ แก้ขัดความรู้สึกที่ตีฟูขึ้นมา
"ไม่ต้องทักก็ได้ครับ..."
เพราะมันจะทำให้เขาเขินกว่าเดิม
"ถ้าแค่เดินดูก็ได้ครับ ผมแค่กลัวเจอของน่ากินจนเสียดายที่อิ่มไปก่อนมากกว่า"
แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ต่างจากปกติมากนักแต่ก็ฟังดูเอนเอียงไปทางพูดเล่นมากกว่าจะเอาไปจริงจัง
พาตทำทีหันไปมองบรรยากาศงานในตอนที่จับมือเข้าด้วยกัน หวังให้แสงไฟกลางคืนช่วยกลบสีแดงบนหน้า
ไม่ยักรู้ว่าความอบอุ่นที่มือมันจะส่งมาถึงใบหน้าได้ด้วย
"ไว้ถ้าปีหน้ามีคนชวนมาเดินเล่นอีกก็คงได้มาอีกล่ะครับ"
เขารู้สึกว่ามันน่าอายนิดหน่อยกับการจับมือถือแขนกันในที่สาธารณะ ถึงมันจะเห็นได้ทั่วไปในงานแบบนี้ก็ตาม แต่พอเป็นตัวเองแล้วมันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน +
ก้มมองมือที่สะกิดอย่างนึกสงสัย แต่พอรู้ความหมายก็ยอมให้จับไม่อิดออดอะไร
"อืม... นอกจากตอนปีหนึ่งที่มาเดินกับเพื่อน ที่เหลือก็แค่หาของกินแล้วก็กลับครับ ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอะไร"
ให้นึกไว ๆ ก็คงประมาณนั้น ถ้าไม่ได้มีคนชวนมาเขาก็ไม่ค่อยมีอะไรที่สนใจในงานเป็นพิเศษ ในเวลาแบบนี้ส่วนที่เขาให้ความสนใจเลยเป็นคนที่มาด้วยมากกว่ากิจกรรมภายในงาน
"นี่ถ้าไม่ติดว่าอิ่มแล้วก็คงชวนไปดูโซนอื่นต่อ"
"ทุกครั้งที่ลองมันเหมือนจะตายเลยครับ"
ถึงจะเป็นคำพูดเล่นที่ดูเกินจริงไปหน่อยแต่ก็เป็นการเปรียบเปรยที่เห็นภาพที่สุดสำหรับคนไม่ค่อยออกกำลังกาย
พอเลือกที่ปลายถัดไปได้พาตก็เดินนำไปทางที่คิดว่าใช่ ไม่ลืมมองหาถังขยะเพื่อทิ้งขยะในมือให้เรียบร้อย
"จะว่าไป นี่ปีแรกที่คุณมาเดินงานนี้เลยใช่ไหมครับ?"
ถึงจะรู้ว่าอีกคนอยู่ปีหนึ่งแต่ก็ไม่ได้รู้ไปถึงขนาดภูมิลำเนา อีกฝ่ายอาจจะเป็นคนพื้นที่นี้ก็ได้ ซึ่งเขาไม่รู้
นั่งพักท้องได้สักพักพาตก็รวบถุงภาชนะทุกอย่างมาถือเตรียมจะไปทิ้ง ตอนลุกขึ้นยืนก็ไม่วายลูบท้องตัวเองอีกรอบ
อิ่มจริง ๆ นั่นแหละ...
"จะไปเขียนกระดาษก่อนหรือไปซื้อไฟเย็นก่อนดีครับ?"
ให้รุ่นน้องเป็นคนเลือก
พาตพยักหน้าเห็นด้วย จนกระทั่งถูกชวนให้ลดบ้างก็ชะงักไปมองหน้าคนพูด
"ไม่ไหวหรอกครับ" ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม
เขารู้ดีกว่าการออกกำลังกายมันดีต่อสุขภาพ แต่คนที่วัน ๆ ไม่นั่งอ่านหนังสือก็เล่นเกมอย่างเขา การออกกำลังกายเลยถือเป็นเรื่องที่ท้าทายขีดจำกัดของตัวเองอย่างถึงที่สุด
"วันนึงผมออกกำลังมากสุดก็แค่เดินขึ้นลงบันไดเอง"
จะให้ไปออกกำลังจริงจังมีหวังอยู่ได้ไม่ถึง 5 นาทีแรก
"ก็ถือว่ามาคุ้มแล้วครับ กลับไปบ้างจะได้ไม่ต้องหาอะไรกินแล้ว"
จากที่ปกติอาจจะมีมื้อดึกบ้างแล้วแต่วันว่าจะอยู่ดึกขนาดไหน แต่กับที่พึ่งกินเข้าไปต่อให้โต้รุ่งมันก็คงอยู่ท้องไปยันเช้า
"จะน้ำหนักขึ้นไหมครับเนี่ย?"
ถามคนที่ดูจะกินเยอะกว่าตัวเอง ถึงจะพอเดาจากรูปร่างได้ว่าต่อให้น้ำหนักเพิ่มยังไงทางนั้นก็คงมีกิจกรรมอะไรทำอยู่แล้ว
มือที่ว่างหลังจากวางถ้วยซุปยื่นไปยีผมอีกคน จะว่าปลอบใจก็อาจจะใช่ แต่ก็ใส่ความรู้สึกมันเขี้ยวลงไปด้วย
"เอาสิครับ"
ตอบพลางเริ่มเก็บภาชนะใส่อาหารที่ซื้อมาและกินหมดแล้วมาซ้อนกันในถุงเดียว
"แต่ขอนั่งแปปนึงนะครับ"
พาตนั่งเองหลังนิดหน่อย เท้ามือกับที่นั่งไว้พอให้ตัวเองไม่หงายหลัง ลุบท้องที่รู้สึกแน่นจนไม่อยากกินอะไรเพิ่มแล้ว เกรงว่าถ้าลุกเดินตอนนี้ก็อาจจะจุกท้องได้
คำถามแรกถูกตอบด้วยการพยักหน้าเบา ๆ แทนปากที่ไม่ว่าง แต่พอถูกถามอีกครั้งก็ใช้เวลานึก พอดีกับที่เคลียร์โมจิในปากหมด
"จะว่ามีก็มีครับ"
"แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขามีความเชื่อเรื่องไม่ควรบอกคำขอไหม"
พูดจบก็ยกถ้วยโอเดงซดน้ำซุปอุ่น ๆ
ถึงจะมีความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นอยู่บ้างจากซับเคาท์เจอร์อย่างเกม แต่ก็เป็นความรู้ผิวเผินที่ไม่รู้ว่าถูกดัดแปลงมากน้อยขนาดไหน
"ไหน ๆ ก็ไปแขวนกระดาษอวยพรด้วยเลยไหมครับ? เผื่อคุณมีอะไรอยากเขียน"
เสนอดูเพราะตัวเองยังนึกอะไรไม่ออกเป็นพิเศษ ดูจากเวลาแล้วยังไงก็คงมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นนอกจากแค่เล่นไฟเย็นอีกเยอะ ไหน ๆ ก็มีโอกาสมางานที่ครั้งนึงจะมีสักครั้งก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว
"ก็จริงครับ"
เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับเรื่องกินแล้วเขาค่อนข้างจะเกรงใจในการถูกเลี้ยงมากกว่าอย่างอื่นเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่ได้เลย
"ให้หายไว้ ๆ"
อวยพรส่งท้ายก่อนจะจัดการโมจิเจ้าปัญหาให้หมด พอถูกถามก็ยกมือปิดปากที่ยังเคี้ยวไม่หมดก่อนพูด
"ก็ดีครับ ถือว่าเดินย่อย"
+
"อันนี้ไม่ได้หาข้ออ้างซื้อให้ผมใช่ไหมครับ?"
น้ำเสียงไม่ได้จริงจังกับคำถามเพราะสุดท้ายโมจิที่ว่าก็ถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเขา
"ถ้าคืนนี้ไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้เช้าก็ไปหาหมอนะครับ"
สุดท้ายก็วนกลับมาที่เป็นห่วงอีกคนอยู่ดี
โมจิที่เปลี่ยนเจ้าของถูกจิ้มขึ้นมา พาตเป่ามันอยู่สักพักจากบทเรียนที่พึ่งเห็นไปสด ๆ ร้อน ๆ
แม้จะมีแสงจากร้านรวงแต่กลางคืนก็นับว่ามองยากอยู่ นอกจากเห็นรอยแดงแล้วเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแผลอะไรอีกไหมจึงเตือนไปด้วยความหวังดี
คอร์นชีสถูกใช้เพื่อนปรับอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติจากเรื่องชวนตกใจเมื่อครู่