เขาเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน แต่ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปยังคนข้างกาย แทนที่จะเป็นภาพอันงดงามเบื้องหน้า
“เช่นนั้นก็จดจำภาพในครานี้ไว้เสีย…”
“ข้าเองก็จักจดจำไว้มิให้มันเลือนจางไป…”
@permafrostseer.bsky.social
Promise me you won’t cry again.
เขาเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน แต่ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปยังคนข้างกาย แทนที่จะเป็นภาพอันงดงามเบื้องหน้า
“เช่นนั้นก็จดจำภาพในครานี้ไว้เสีย…”
“ข้าเองก็จักจดจำไว้มิให้มันเลือนจางไป…”
“สองความปรารถนา ย่อมแรงกล้ากว่าเพียงหนึ่ง”
เขามองโคมกระดาษที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นไป สลับกับใบหน้านวลผ่องใต้แสงจันทร์และแสงจากดวงไฟที่สาดส่องลงมา
“มันคงจะต้องเป็นจริง…ข้าเชื่ออย่างนั้น”
“ด้วยโคมลอยมากมายขนาดนี้ ท่านคงจะได้ยินคำขอของเจ้าแล้ว…”
เขาเอ่ยไปเช่นนั้น แม้ไม่อาจรู้เลยว่าแอสตร้าเคยฟังคำขอพรจากมนุษย์บ้างหรือไม่
“แต่หากแม้ท่านจะไม่ได้ยิน ข้าก็รับรู้แล้วหนา…”
เขาหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นลวดลายบนโคมลอย ช่างน่ารักน่าเอ็นดูสมกับเป็นนาง
แม้ไม่ได้เอ่ยคำชมออกไปตรง ๆ แต่สายตาที่มองหญิงสาวก็บ่งบอกว่าเขาชื่นชมนางแค่ไหน
มือที่สวมถุงมือจับประคองโคมลอยฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว เตรียมปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เช่นนั้น…คำอธิษฐานของข้าก็คือ ขอให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง”
“อืม…ช่างดูมีเอกลักษณ์สมกับเป็นเจ้า”
เขาเอ่ยในขณะที่มือเอื้อมไปจับขอบล่างของโคมลอยฝั่งตรงข้ามกับนาง เตรียมปล่อยมันให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ใบหน้าของเขาแต้มด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองสบตา
“ข้าคงมิต้องกล่าวคำอธิษฐานซ้ำ…เมื่อเราปรารถนาสิ่งเดียวกัน”
เขามองรอยยิ้มบนใบหน้านวลแล้วก็พลันยิ้มตาม ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าเองก็ชอบเช่นกัน…”
แต่เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้ว เขากลับหันไปมองท้องฟ้าทั้งเดิม แสร้งทำเป็นว่าคำชมนั้นเขามอบให้กับดวงไฟบนฟ้า
“เกรงว่าข้าจะไม่มีสิ่งใดให้อธิษฐาน…”
แม้กล่าวเช่นนั้น แต่สองมือก็จับขอบล่างของโคมลอยเอาไว้ ในขณะนั้นเอง ความปรารถนาที่ไม่เคยมีมาตลอดหลายร้อยปี ก็ปรากฏขึ้นมาในใจ
‘ข้าปรารถนาจะอยู่คู่เคียงกับนางตลอดไป…’
เขาไม่ได้เอ่ยมันออกมา และไม่ได้ปรารถนาให้มันส่งไปจนถึงแอสตร้า ได้แต่เพียงหวังอยู่ลึก ๆ ในใจเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว สองแขนก็ยกขึ้นเพื่อปล่อยโคทแห่งความปรารถนาขึ้นสู่ฟ้าไป
เขาคลี่ยิ้มออกมาอีกครา ก่อนที่มือทั้งสองจะจับขอบด้านล่างของโคมลอยเอาไว้ เตรียมส่งมันขึ้นสู่นภา
เปลือกตาทั้งสองปิดลง เป็นอันรับรู้ว่าเขากำลังเอ่ยขอพรในใจ มิได้เอ่ยมันออกมาเป็นคำพูด
เมื่อขอพรจนจบ สองแขนจึงยกขึ้นส่งให้โคมมนตราล่องลอยสูงขึ้นไปจนลับสายตา
ถ้าหากข้าขอมีนางอยู่เคียงกายตลอดไป คงไม่มากเกินไปดอกหนา…
“ความปรารถนาของเจ้า…ข้ารับรู้แล้ว”
“แต่หากต้องการให้แอสตร้าทรงรับรู้ โคมลอยเพียงดวงเดียวอาจไม่เพียงพอ”
สิ้นคำกล่าวนั้น ท้องฟ้ายามราตรีที่เคยมืดมิดก็พลันสว่างไสวไปด้วยโคมลอยนับร้อยนับพัน อันเกิดจากมนตราแห่งเทพพยากรณ์
“เจ้าชอบหรือไม่?”
“อืม…งดงามเชียว”
เขาเอ่ยชม พร้อมรอยยิ้มที่แต้มจาง ๆ บนมุมปาก
แต่เมื่อหญิงสาวเป็นผู้เสนอให้เขาเป็นฝ่ายอธิษฐาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นฉงน ก่อนที่จะส่ายหน้าช้า ๆ เป็นการปฏิเสธ
“ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะร้องขอต่อแอสตร้าดอก…”
“เป็นหิมะที่ดูพิลึกนัก…แต่ก็พออนุมานได้ว่ามันคือเจ้ากับข้า”
แม้ไม่ได้เอ่ยชม แต่ริมฝีปากของเขาหยักเป็นรอยยิ้มในขณะที่พินิจมองภาพวาดบนโคมกระดาษ บ่งบอกว่าเขาชื่นชมมันเพียงไร
เขาเพียงแค่ยืนนิ่งไม่พูดจา ฟังนางอธิษฐาน
ถ้าหากเขาจะอธิษฐาน…ก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือขอให้คำอธิษฐานของนางเป็นจริง…
ลำพังโคมกระดาษอันน้อยที่ทำด้วยมือ คงมิอาจพาความปรารถนาของนางขึ้นไปบนนภาได้…
หญิงสาวมองเศษกระดาษที่ถูกเผาไหม้ตกลงมาบนพื้นอย่างละเหี่ยใจ แต่ยามที่นางกำลังจะถอดใจกับคำอธิษฐานนั้น…
“หากเจ้าต้องการให้แอสตร้าทรงรับฟังคำอธิษฐาน เจ้าคงต้องใช้โคมที่มั่นคงกว่านี้…”
เขาก็เอ่ยขึ้นพร้อมโคมอันใหญ่ที่สรรค์สร้างจากมนตรา
(สามารถวาดตกแต่งโคมลอยและแนบภาพในโควทพร้อมคำอธิษฐานได้)
“โอ ข้าแต่องค์ผู้ทรงฤทธิ์“
”องค์แอสตร้าผู้ยิ่งใหญ่ บารมีเกรียงไกรเกริกฟ้า“
นางเอ่ยคำอธิษฐาน พร้อมด้วยโคมกระดาษอันน้อยในมือ
”ขอให้ข้าหายจากโรคร้ายนี้…ขออย่าให้ข้าเป็นดั่งน้ำแข็งเยือกเย็นเมื่อสิ้นชีวา…“
สิ้นคำปรารถนานั้น โคมอันน้อยก็ลอยขึ้นสู่ฟ้า ก่อนที่จะถูกไฟแผดเผาเป็นจุล ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นหินยะเยือกของยอดหอคอย
ความปรารถนาของนางคงส่งไปไม่ถึงฟ้าสวรรค์เป็นแน่…
วันนี้วันอะไร? เช่นนั้นหรือ…?
ข้าก็มิเห็นว่าวันนี้จะต่างจากวันธรรมดาทั่วไปอย่างไร
อย่าลืมรดน้ำดอกมะลิ
15.11.2024 05:51 — 👍 14 🔁 2 💬 0 📌 0จากที่คิดว่าวันนี้พระเจ้าคงมิได้ประทานโชคให้ ก็ได้รู้แล้วว่าเขาได้พบกับโชคที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าโชคจากฟ้าสวรรค์เข้าแล้ว…
03.11.2024 11:19 — 👍 1 🔁 0 💬 0 📌 0เมื่อหล่อนได้ทราบชื่อของบุรุษตรงหน้าตามที่ปรารถนา ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกมา
”เซน…ฉันจะจำชื่อนี้ไว้อย่างดีเลย“
”แล้วเอาไว้ฉันจะบอกชื่อของฉันให้คุณรู้ เมื่อเราได้พบกันครั้งหน้านะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซนก็ยิ้มออกมา
เขามั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไรเชียว ว่าคำพูดนั้นจะต้องเป็นคำสัญญาว่าเขาและหล่อนจะต้องได้มาพบกันอีกในไม่ช้าก็เร็ว…
ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกัน ต่างฝ่ายต่างซ่อนความเว้าวอนเล็ก ๆ เอาไว้ ราวกับว่าความคิดในใจนั้นตรงกัน
อยากให้ช่วงเวลาที่ได้อยู่ชิดใกล้นั้นยาวนานกว่านี้อีกสักหน่อย…
แต่ก่อนที่จะได้ร่ำลา หญิงสาวก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
”ฉันขอทราบชื่อของคุณหน่อยได้หรือไม่?“
ผู้ที่ถูกเอ่ยถามแสดงสีหน้าฉงนออกมาครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมเอ่ยนามของตนไปอย่างไม่คิดปฏิเสธ
”เซน…“
หนุ่มสาวทั้งคู่เดินเรื่อยมาตามทางอย่างไม่รีบร้อน แลกเปลี่ยนบทสนทนาซึ่งกันและกัน แลกวาจา แลกสายตา จนความรู้สึกบางอย่างค่อย ๆ ก่อขึ้นมาในใจ
ตลอดชีวิตที่มีมายี่สิบเจ็ดปี…วันนี้คงเป็นวันแรกที่รู้สึกว่าดวงใจมันพองคับอกได้ถึงเพียงนี้
และแล้วทั้งคู่ก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโบสถ์ เส้นทางที่เดินร่วมกันได้สิ้นสุดลง บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องร่ำลากันแล้ว
“คงต้องลากันตรงนี้แล้วหนา…”
”ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ“
“หากคุณจะกลับไปที่โบสถ์ ก็ให้ฉันช่วยถือจะดีกว่าค่ะ อย่างไรฉันก็จะต้องเดินกลับไปทางนั้นอยู่แล้ว”
เขายังไม่ทันตั้งตัวได้ดีนัก ราวกับสติได้หลุดลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็มิอาจรู้ แต่เขาก็ยังรู้ว่าไม่ควรปฏิเสธน้ำใจในครั้งนี้
“ขอบคุณครับ”
…
“จำได้ซีคะ คุณเล่นเปียโนเก่งออกปานนั้น ฉันละสายตาไม่ได้เลย ยังนึกอยู่เลยว่าเผลอมองมากเกินไปจนเสียมารยาทหรือเปล่า“
ประโยคคำชมนั้น จะว่าทำให้ใจพองโตก็คงใช่ หากแต่มันก็ยิ่งทำให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำมากกว่าเดิม
แลเมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาตอบโต้จากนักดนตรีหนุ่มมีเพียงยืนนิ่งและอ้ำอึ้งอยู่แบบนั้น หล่อนก็หัวร่อออกมาอีกครั้ง ก่อนจะถือวิสาสะฉวยเอาขนมปังถุงหนึ่งที่เขาโอบไว้ในอ้อมแขนมาถือไว้เสียเอง
ใช้เวลาอยู่นานเชียว กว่าเขาจะหาเส้นเสียงของตนพบ
”ขอบคุณครับ…“
หล่อนยิ้มให้เขารับคำขอบคุณนั้น ช่างดูเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าดวงตะวันเหนือหัว จนเขาต้องเบนสายตาหลบหนี
“คุณซื้อขนมปังพวกนี้กลับไปที่โบสถ์หรือคะ?”
คำถามนั้นทำให้เซนต้องหันกลับมามอง พร้อมทั้งกะพริบดวงตาช้า ๆ
“คุณจำผมได้ด้วยหรือ…?”
การตอบคำถามด้วยคำถามเช่นนั้น ทำให้เจ้าหล่อนยกมือขึ้นปิดปากพร้อมทั้งหัวร่อออกมาเบา ๆ
เธอคือหญิงสาวที่เขาได้สบตาในโบสถ์เมื่อวันนั้น…
ราวกับว่าสมองของเขาหยุดการประมวลผลไปแล้ว ในตอนที่ได้ยินหล่อนเอ่ยขออนุญาตเบา ๆ ก่อนที่จะเขย่งตัวขึ้นเพื่อสวมหมวกใบนั้นกลับคืนยังตำแหน่งเดิม แล้วจึงก้าวถอยออกมาเล็กน้อย
เซนรู้สึกว่าดวงใจในอกเต้นแรงเสียจนเขาสามารถได้ยินมันทุกจังหวะ รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวราวยืนอยู่หน้าเตาไฟที่กำลังลุกโชน
แต่วันนี้พระเจ้าคงไม่ได้ประทานโชคให้เขามากนัก เมื่อหมวกที่สวมอยู่ถูกลมพัดปลิวออกจากศีรษะก่อนจะร่วงตกลง เขาถอนหายใจออกมา นึกตำหนิโชคชะตาในใจว่าลำพังแค่ต้องหอบถุงขนมปังเสียจนเต็มสองมือ คงยังลำบากไม่พอ
หากแต่ยังไม่แม้เพียงจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ หญิงสาวคนหนึ่งก็ย่อตัวลงเก็บหมวกที่น่าสงสารใบนั้น ก่อนจะเดินตรงมาหาเจ้าของหมวกที่บัดนี้ยืนนิ่งค้างไปเสียแล้ว
#ALT_LNDTH
Spin-Off 2 : My Heart’s In Your Hands
ในยามบ่ายของวันหนึ่ง ตะวันทอแสงจ้าอยู่บนนภา พร้อมกับสายลมเย็นพัดให้ใบไม้สีแดงร่วงหล่นลงบนพื้น สร้างทิวทัศน์อันงดงามแห่งสารทฤดู
เซนเพิ่งเสร็จสิ้นธุระของเราที่ร้านขนมปัง สองมือของเขาจึงเต็มไปด้วยถุงบรรจุขนมปังทรงยาวที่คุณพ่อวานให้เขามาซื้อเอาไว้สำหรับประกอบพิธีศีลมหาสนิท
และทุกคราที่เบนสายตาไปหา ก็พบว่าหล่อนยังมองสบกลับมา ทุกหนที่เผลอมองจ้องนานเกินกว่าแปดวินาที หล่อนก็ยังคงคลี่ยิ้มให้อย่างงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์
เป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่เซนรู้สึกว่าดวงใจตนมิได้เป็นของตนอีกต่อไป…
ในเสี้ยวนาทีนั้นที่ดวงตาใสดุจลูกกวางหันมาสบตา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้านวล ดึงให้ดวงใจเต้นไม่เป็นส่ำ สติที่เคยมีพลันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนเผลอเล่นโน้ตผิดไปตัวหนึ่ง
เมื่อรู้ตัวว่าสติหลุดลอยไปไกลโข เขาจึงรีบดึงความสนใจกลับมาที่เปียโน แต่สายตาก็ยังไม่วายลอบมองไปที่เจ้าหล่อนเป็นระยะ
เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่สองมือไล่ละเลงลงบนลิ่มขาวดำด้วยความตั้งใจ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ดึงความสนใจไปจากเขาจนความตั้งใจนั้นเกือบหลุดลอยไป
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็พบกับสตรีคนหนึ่งในท่ามกลางกลุ่มคนที่มาฟังคำเทศนา ดวงตากลมโต ประกอบเครื่องหน้าอันหวานหยดย้อย ทำให้เผลอจ้องมองจนแทบลืมตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่
ชีวิตของเขาเริ่มต้นจากการเป็นทารกห่อผ้าที่ถูกมารดาใจมารนำมาทิ้งไว้หน้าโบสถ์ กรรมของการกำพร้าพ่อแม่นั้นน่าเวทนา แต่นับว่าโชคยังดีที่ยังมีบาทหลวงใจบุญในโบสถ์นั้นชุบเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ และได้ให้โอกาสเขาฝึกฝนดนตรีจนได้เป็นคีตกรประจำโบสถ์
เขานั้นแสนภูมิใจกับหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดจึงบรรเลงคีตาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วยความตั้งใจในทุกครั้ง